Mixue ชานมจากจีน ขายถูก-โตไว ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของโลกมีสาขามากสุด 45,000 สาขา
กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ดัน Mixue ขึ้นแท่นร้านไอศกรีม-ชานม อันดับ 1 ของโลกที่มีสาขามากที่สุด 45,000 สาขา แซงหน้าร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) อเมริกัน อย่าง McDonald's , Starbucks ทำให้ผู้ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นแท่นเศรษฐีชานมจีน
Mixue (มี่เสวี่ย) แบรนด์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ-ชานม จากจีน ขึ้นแท่นร้านไอศกรีมและชานมที่มีสาขามากสุดในโลกเป็นที่เรียบร้อย ด้วยจำนวน 45,000 แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ และอีก 11 ประเทศ แซงหน้าร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) อเมริกัน อย่าง McDonald's ที่มีจำนวน 42,800 แห่ง, Starbucks จำนวน 40,200 แห่ง และ KFC จำนวน 31,100 แห่ง
การเติบโตไม่หยุดเท่านั้น ล่าสุด Mixue group ยังสามารถระดมทุนได้สูงถึง 444 ล้านดอลลาร์ ในการเปิดขายหุ้นแก่สาธารณชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 17.06 ล้านหุ้น ที่ตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อวันจันทร์ (3 มีนาคม) หลังจากราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น 40% ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในหุ้น IPO ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สร้างความคึกให้ตลาดหุ้นฮ่องกง
มากไปกว่านั้นยังทำให้สองพี่น้อง จาง หงเชา (Zhang Hongchao) และ จาง หงฟู่ (Zhang Hongfu) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ จากเมืองเจิ้งโจว ถูกจับตาว่ากลายเป็นมหาเศรษฐีชานม ด้วยทรัพย์สินรวมกัน 8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.7 แสนล้านบาท
กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง-ขายราคาถูก-เน้นทำเลใกล้สถานศึกษา
อย่างที่ทราบกันว่า การเติบโตของ Mixue เริ่มจากจีน นำเสนอราคาที่เอื้อมถึง ด้วยการคำนวณต้นทุนอย่างถี่ถ้วน พร้อมกับบวกอัตรากำไรเพียงเล็กน้อย
ช่วงแรก Mixue จะเน้นเปิดร้านใกล้กับสถานศึกษามากกว่าเปิดในห้าง ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และสามารถจับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ไม่สูง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่คู่แข่งรายอื่นๆ ไม่ได้สนใจ
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนของ Mixue ต่ำกว่าคู่แข่ง คือระบบห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ และการมีระบบโลจิสติกส์และคลังสินค้าของตนเอง โดยมีโรงงานผลิตวัตถุดิบและครัวกลางเป็นของตนเอง ทำให้สามารถจัดหาวัตถุดิบควบคุมทั้งต้นทุนและคุณภาพให้อยู่ในระดับที่ต้องการได้
Mixue ใช้ระบบแฟรนไชส์ในการขยายสาขา เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนและขยายสาขาออกไปอย่างรวดเร็ว
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยวิเคราะห์เอาไว้ว่า Mixue เริ่มต้นจากการใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ขณะที่คู่แข่งอื่นๆ จะแย่งกันขายในเมืองใหญ่ Mixue จะมุ่งเน้นที่เมืองขนาดรองลงมาและในต่างจังหวัดของจีน
เมื่อเติบโตในประเทศจนถึงจุดหนึ่ง Mixue ก็ออกมายังต่างประเทศ โดยเป้าหมายหลักคือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ใกล้กับจีนทั้งด้านทำเลและพฤติกรรมของลูกค้า
ตามรายงานของ MOMENTUM ASIA ระบุว่า ในอินโดนีเซียมีประมาณ 2,667 สาขา เวียดนาม ประมาณ 1,304 สาขา ประเทศอาเซียนอื่นๆ รวมถึงมาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ลาว และกัมพูชา
รายได้หลักไม่ได้มาจากแฟรนไชส์ แต่มาจากขายวัตถุดิบ
บริษัทเปิดเผยว่า ช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ขายเครื่องดื่มได้กว่า 7,100 ล้านแก้ว และทำกำไรสุทธิไปได้ 16,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4%
ทั้งนี้ ร้านของ Mixue กว่า 99% จากทั้งหมด 45,000 แห่ง เป็นร้านแฟรนไชส์ อย่างไรก็ตาม รายได้หลักของบริษัทไม่ได้มาจากค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ เพราะค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์คิดเป็นเพียง 2.4% ของรายได้รวมเท่านั้น
โดยรายได้หลักกว่า 97.6% ของบริษัท มาจากการขายวัตถุดิบ และอุปกรณ์ให้กับร้านแฟรนไชส์ ซึ่งเป็นข้อบังคับว่า ผู้ประกอบการแฟรนไชส์ต้องซื้ออุปกรณ์จาก Mixue
Mixue ผลิตส่วนผสมเครื่องดื่มประมาณ 60% ภายในบริษัท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มสดของจีน นอกจากนี้ยังรับประกันการจัดหาส่วนผสมเครื่องดื่ม วัสดุบรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ 100% จากแบรนด์ของตัวเอง
ปักธงแฟรนไชส์ไทย 2,000 สาขา
Mixue เข้ามาเปิดในไทยเมื่อปี 2565 ภายใต้การบริหารบริษัท มี่เสวี่ย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดสาขาแรกที่ซอยรามคำแหง 53 นำเสนอราคาที่เอื้อมถึง ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ โคนวาฟเฟิลอันใหญ่ เริ่มต้นแค่ 15 บาท น้ำเลม่อน แก้วใหญ่ราคาแค่ 20 บาท , ชาพีชใส่เนื้อผลไม้เต็มๆ แก้วละ 45 บาท, ชานมไข่มุกแก้วละ 40 บาท ฯลฯ และใช้กลยุทธ์เน้นขยายสาขาตามทำเลมหาวิทยาลัยต่างๆ สร้างการรับรู้แบรนด์ในหมู่วัยรุ่นนักศึกษา
เฉิน เสี่ยวเผิง หัวหน้าฝ่ายธุรกิจแฟรนไชส์ บริษัท มี่เสวี่ย(ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงเหตุผลของการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของบริษัทแม่ในประเทศไทยว่า มาจากมิตรภาพไทยจีนที่ลึกซึ้ง สภาพแวดล้อมการลงทุนที่ดี และสภาพภูมิอากาศเมืองร้อนของไทย ซึ่งเหมาะกับการขายสินค้าหลักของทางร้านอย่างไอศกรีมและเครื่องดื่มชา
ปัจจุบันมีสาขาไม่ต่ำกว่า 480 แห่ง ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคาดว่ากลยุทธ์ธุรกิจของ MIXUE ต่อไปน่าจะขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้นให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งนั่นหมายถึงจะมีสาขากว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศตามเป้าหมายที่ Mixue เคยตั้งเอาไว้ภายใน 3 ปี (2566-2569)
เงื่อนไขตั้งแฟรนไชส์ Mixue
จากการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับการทำแฟรนไชส์ Mixue พบว่า
- ต้องมีขนาดพื้นที่ 40 ตารางเมตรขึ้นไป ความกว้างหน้าร้าน 4 เมตร ความสูง 2.7 เมตร
- ไฟฟ้า 3 เฟส (30/100)
- พื้นที่ที่มีน้ำไหลมากเพียงพอ
- พื้นที่ที่สามารถสังเกตได้ง่าย
- ตั้งอยู่บนที่ดินที่มีศักยภาพ เหมาะสมกับการทำธุรกิจ
- และที่สำคัญพื้นที่จัดตั้งร้านต้องไม่ขัดกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ของหน่วยราชการ
ส่วนต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน แบ่งเป็น
- ค่าแฟรนไชส์ 50,000 บาท/ปี
- ค่าจัดการ 25,000 บาท/ปี
- ค่าอบรม 10,000 บาท/ปี
- ค่าค้ำประกัน 100,000 บาท
- ค่าอุปกรณ์ 450,000 บาท
- ค่าวัตถุดิบ 250,000 บาท
- ค่าสำรวจพื้นที่ กรุงเทพฯ 2,500 บาท/ครั้ง, ต่างจังหวัด 5,000 บาท/ครั้ง
รวมๆ งบลงทุนเริ่มต้นราว ๆ 890,000 บาท (ยังไม่รวมค่าเช่า-ก่อสร้าง-ตกแต่งร้าน)
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ภายในสิ้นปี 2568 ทาง Mixue จะเร่งสปีดเปิดร้านได้มากแค่ไหน
ขณะที่คู่แข่งอย่าง Ai-Cha แบรนด์ชานมไข่มุกและไอศกรีมจากประเทศอินโดนีเซียก็เข้ามาในไทย ใช้กลยุทธ์ลักษณะเดียวกัน ไม่เท่านั้นยังมีแบรนด์ WEDRINK ก็ได้เปิดสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับ Bing Chun แฟรนไชส์ไอศกรีมและเครื่องดื่มจากจีนที่มีสาขาในจีนมากกว่า 3,000 และจากการเปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Bing Chun Thailand” พบว่า เปิดทำการไปแล้วอย่างน้อย 8 แห่ง
ที่มาข้อมูล :businessinsider , TheSun, Reuters


