posttoday

ก.คลังพร้อมลดค่าจดจำนอง-โอน-ผ่อนคลาย LTV กระตุ้นอสังหาฯ

10 มีนาคม 2566

"อาคม" ชี้เศรษฐกิจไทยปี 66 ขยายตัว 3-4% โดยมีภาคท่องเที่ยว-บริโภคเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ดันธุรกิจอสังหาฯขยายตัว แนะผู้ประกอบการปรับตัวรับ 3 ปัจจัยเปลี่ยน “ดิจิทัล-สภาพภูมิอากาศ-สังคมสูงวัย” จ่อลดค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอน ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV กระตุ้นอสังหาฯโต

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวระหว่างปาฐกถาพิเศษ”เศรษฐกิจกับโอกาสภาคอสังหาฯ” ในงานสัมมนา Property Focus : Big Change to Future โอกาสและความท้าทาย จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ว่า ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันผู้ประกอบการมีการลงทุนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจอสังหาฯถือเป็นดัชนีที่ชี้วัดภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวได้ดีหรือไม่ 

 

ทั้งนี้ สำหรับทิศทางการขยายตัวเศรษฐกิจไทยนั้น จะเห็นได้ว่า มีลักษณะการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ 3-4%  โดยแม้ว่า ในปี 65 อัตราการขยายตัวจะต่ำกว่าคาดการณ์ โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 2.6% แต่ถ้าเทียบกับปี 64 ที่ขยายตัวเพียง 1.5% ถือว่า มีการเติบโต สอดคล้องกับความเห็นของไอเอ็มเอฟที่มองเศรษฐกิจอาเซียนเติบโตสวนทางกับประเทศขนาดใหญ่

 

“เราไม่ห่วงเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะเรามีการเติบโตทีละเสต็ป ไม่ได้ตก แต่เติบโตอย่างมั่นคงซึ่งสำคัญกว่า เพราะเราเห็นบางประเทศจีดีพีกระโดด 6-8% เช่น สหรัฐ แต่พอเจอโควิดอีกรอบ จีดีพีก็ลงเร็ว โดยการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้น ก็สอดคล้องกับไอเอ็มเอฟที่มองเศรษฐกิจอาเซียนจะเป็นลักษณะสวนทาง Global ฉะนั้น เราจึงเป็น power house ของโลก ดังนั้น เราจึงต้องดึงดูดนักลงทุนให้มากที่สุดและเชื่อว่า การลงทุนปีนี้ เริ่มขับเคลื่อนไปในการก่อสร้าง”

 

เขาย้ำว่า เหตุผลที่เศรษฐกิจเราสามารถเติบโตได้ เพราะนโยบายภาครัฐที่เข้ามาดูแล โดยเฉพาะการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเข้ามาเยียวยาทุกภาคธุรกิจ และรวมถึง การออกมาตรการออกมาเพื่อดูแลลูกหนี้ และ การเติมเงินเข้าไปในแต่ละภาคธุรกิจ ซึ่งล่าสุด คณะรัฐมนตรีก็มีมติต่ออายุซอฟท์โลนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ซึ่งมีวงเงินเหลือถึง 1.65 หมื่นล้านบาท ส่วนภาคธุรกิจขนาดเล็กนั้น ทางธนาคารออมสินก็พร้อมที่จะช่วยเหลือด้านเงินทุน ซึ่งภาคธุรกิจโรงแรมก็สามารถเข้าไปใช้สินเชื่อดังกล่าวได้

 

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจหลักที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คือ ภาคการท่องเที่ยว และการบริโภค ซึ่งจะสนับสนุนให้ภาคธุรกิจอสังหาฯมีการเติบโตได้ต่อเนื่อง และจะช่วยทดแทนภาคธุรกิจส่งออกที่ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสหรัฐกับจีน และรวมถึง ยูเครนกับรัสเซีย เป็นต้น 

 

“การบริโภคใช้จ่ายใประเทศ ปีก่อนเพิ่ม 6% ปีนี้ ยังไปได้ เพราะคนกลับเข้าทำงานในระบบเศรษฐกิจ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ บางคนยังไม่กลับจากโควิด เพราะเขาเริ่มอาชีพใหม่และมีความสุขกับอยู่ในต่างจังหวัด เพราะค่าครองชีพถูกกว่า จึงเกิดปัญหาเรื่องของการขาดแคลนแรงงาน ที่เห็นได้ชัด การให้บริการต่างๆในสนามบินที่ยังล่าช้า แม้จะมีการเพิ่มค่าจ้าง แต่ก็ยังไม่พอ”
 

 

นอกจากนี้ การลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 58 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปลี่ยนโฉมต่อการลงทุน ซึ่งรวมถึง การลงทุนด้านอสังหาฯ โดยการลงทุนด้านการคมนาคม ซึ่งเปลี่ยนโหมดการเดินทางจากรถยนต์มาเป็นรถรางในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการเดินทางในต่างจังหวัดทั้งรถไฟทางคู่ ความเร็วสูง และการลงทุนในอีอีซี ถือเป็นจุดที่ส่งเสริมการลงทุนด้านอสังหาฯ ซึ่งทำให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานของประชาชนด้วย ทั้งนี้ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วย

"ขณะนี้ ไทยได้มีการเจรจาธุรกิจดิจิทัล เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นที่เก็บข้อมูล โดยจำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูล มีบริษัทรายใหญ่ในอเมริกาจะย้ายฐานเข้ามาที่ไทย นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่นๆ ก็มองไทย เพราะในช่วงโควิด ซัพพลายเชนขาดไป”

เขาแนะนำว่า การออกแบบโครงการอสังหาฯนับจากนี้ จะต้องรองรับในเรื่องของ คือ การพัฒนาดิจิทัลผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สังคมสูงวัย แนวโน้มการย้ายถิ่นฐาน และรวมถึง ซัพพลายและดีมานด์ ซึ่งเรื่องของข้อมูลประกอบการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ประกอบการสามารถหาได้จากภาครัฐ

 

“การลงทุนอสังหาฯ จะต้องดูเรื่องซัพพลาย ดีมานด์ เปลี่ยนแปลงหรือไม่ และการโยกย้ายถิ่นฐาน เมื่อรถไฟฟ้าเกิดขึ้น การลงทุนคอนโดฯก็จะไปตามเส้นทาง แต่ตัวเลขที่ได้จากธอส.คือ สินเชื่อ 40% อยู่กทม. 60% อยู่ต่างจังหวัด เพราะส่วนหนึ่งค่าครองชีพถูก ไม่เผชิญค่าPM และการเดินทางสะดวก ยิ่งอยู่เส้นทางรถไฟเร็วสูงจะเป็นประโยชน์ จะเปลี่ยนพฤติกรรมโยกย้ายถิ่นฐาน ที่ผ่านมาพบว่า คนย้ายบ้านข้ามภาคมีเยอะ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ผู้ประกอบการหาได้จากภาครัฐ”

 

ทั้งนี้ นโยบายของภาครัฐยังให้การสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ ทั้งเรื่องการลดค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอน โดยค่าธรรมเนียมการโอนแม้จะไม่ต่ำสุด แต่เราก็อยากให้ค่อยๆปรับตัว รวมถึง การผ่อนคลายเกณฑ์เรื่อง LTV และ การเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน ซึ่งล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้ออกมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ออกโทเคนดิจิทัล ซึ่งผู้ประกอบการอสังหาฯก็สามารถใช้ช่องทางดังกล่าวในการระดมทุนได้