กะเทาะแนวคิด บิ๊ค ธนพนธ์ เบญจรงคกุล บทบาทใหม่ YAS
เผยแนวคิดการทำงาน กับอีกบทบาทใหม่ในธุรกิจครอบครัวเพื่อนำพา YAS ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม ยืนหนึ่งในตลาดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงด้วยสงครามราคา โดยเฉพาะในตลาดคอนซูเมอร์ และสินค้าไอทีที่เขาดูแล
บิ๊ค ธนพนธ์ เบญจรงคกุล ทายาทรุ่นที่ 3 แห่งตระกูลเบญจรงคกุล ในวัย 33 ปี กำลังเผชิญกับความท้าทายบทใหม่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคู่ค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ บริษัท วายเอ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด (YAS) อีกหนึ่งธุรกิจใต้ร่ม กลุ่มเบญจจินดา (BCG) ที่เขาเข้ามานั่งในตำแหน่งนี้ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค. 2564
เป้าหมายในปีนี้เขาต้องการให้ YAS เป็นที่รู้จักในตลาดมากขึ้น ที่สำคัญคือต้องมีการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าให้แตกต่างจากสินค้าทั่วไปที่เน้นแข่งด้วยราคาเพียงอย่างเดียว
เป็นที่ทราบกันดีว่า บิ๊ค ธนพนธ์ ลูกคุณพ่อสมชาย เบญจรงคกุล เรียกได้ว่าเป็นหลานชายของเจ้าสัวบุญชัย และวิชัย เบญจรงคกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มเบญจจินดา
บิ๊ค ธนพนธ์ เข้ามาสัมผัสกับธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่อายุได้ 20 กว่าๆ ผ่านการเรียนรู้และบริหารงานในตำแหน่งต่างๆของบริษัทในเครือตั้งแต่เรียนจบจากประเทศออสเตรเลีย แม้ว่าเขาไม่ได้ทำงานตรงกับสายที่เรียนมา แต่ บิ๊ค ธนพนธ์ ก็สามารถทำงานได้ทุกตำแหน่ง เพราะชอบความเปลี่ยนแปลง และการเรียนรู้ตลอดเวลา
ผมไม่เคยให้คะแนนตัวเองเต็ม 100 ผมประเมินตัวเองแค่ 80-90 เพราะต้องการพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก
ชอบเรียนสายศิลป์-เล่นกีฬา
บิ๊ค ธนพนธ์ อยู่ออสเตรเลีย กับ คุณแม่ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จบปริญญาตรีจาก Box Hill Institute ในด้าน Hospitality management แถมยังเคยศึกษาต่อในเรื่อง Sports Management ที่ Deakin University ซึ่งเขายอมรับว่าสิ่งที่เรียนและทำงานอยู่ที่ออสเตรเลียไม่ตรงกับธุรกิจโทรคมนาคมเลย เขาเรียนทางด้านบริหารโรงแรม ทำงานร้านอาหาร ร้านกาแฟ ทำงานเกี่ยวกับจัดงานอีเว้นท์ อยู่ในวงการทำงานที่ออสเตรเลีย 4-5 ปี นอกจากเรียนเรื่องบริหารโรงแรมแล้ว ยังเรียนหลักสูตรเอ็มบีเอบริหารจัดการด้านกีฬา เป็นครูสอนกีฬา ทั้งฟุตบอล ฮอกกี้ วอลเลย์บอล เพราะเป็นคนชอบเล่นกีฬามาก
ส่วนงานศิลปะก็มีความชื่นชอบ แม้ว่าจะไม่ได้เก่งด้านการวาดภาพแต่สมัยเรียนไฮสคูลเขาเรียนกราฟิก ดีไซน์ ตอนนี้สิ่งที่ชอบยามว่างนอกจากการเล่นกีฬา ตีกอล์ฟ กับญาติๆ แล้ว ก็คือการเล่นดนตรี ตีกลอง และเป็นยูทูปเบอร์ คู่กับหวานใจ เชียร์ ฑิฆัมพร เรียกได้ว่า มีความเป็นศิลปินอยู่บ้าง และเขาคิดว่าการใช้โซเชียลมีเดีย ยูทูป ติ๊กต็อก จะช่วยต่อยอดธุรกิจที่ทำอยู่ได้
เริ่มเรียนรู้งานจากฝ่ายบุคคล
จุดเริ่มต้นในการเข้ามาทำงาน บิ๊ค ธนพนธ์ ยอมรับว่าระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เขาไม่เคยสัมผัสกับธุรกิจของครอบครัวเลย เมื่อกลับมาเมืองไทยในปี 2559 เขามีเวลาปรับตัว 3-4 เดือนก่อนเข้ามาทำงานที่บริษัท เริ่มด้วยการทำงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล ประมาณ 4-5 เดือน เพื่อทำความรู้จักกับผู้บริหารแต่ละคน ว่าเป็นใคร ธุรกิจในบริษัทมีอะไรบ้าง ฝ่ายนี้จึงเป็นด่านแรกที่สำคัญในการเรียนรู้ระบบงานและโครสร้างงานและโครงสร้างบุคลากรทั้งหมด
หลังจากนั้นจึงเข้าไปเรียนรู้งานในส่วนของ การตลาด เป็น corporate marketing เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับการตลาดระดับองค์กร แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นการเรียนรู้อีกขั้นหนึ่งของการทำงาน
แม้เราไม่ได้เรียนตรงสาย แต่งานที่ทำสนุก เป็นความท้าทาย เพราะผมเป็นคนเบื่องานง่าย ชอบการเปลี่ยนแปลง
ปิดดีลใหญ่โครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ
จากนั้น บิ๊ค ธนพนธ์ ก็ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเส้นเลือดใหญ่ขององค์กร บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จํากัด (UIH) เขายอมรับว่าการทำธุรกิจเน็ตเวิร์ก ยาก เพราะไม่ได้เรียบจบด้านวิศวะ ดังนั้นในช่วงแรกจึงต้องเรียนรู้งานไปกับฝ่ายขาย ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวเพราะเขาเป็นคนชอบงานขายอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยทำงานที่ออสเตรเลีย
ดังนั้นหน้าที่ของเขาคือการประสานงานกับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่เป็นประเทศแถบเพื่อนบ้านของไทย คือ เมียนมาร์,ลาว,กัมพูชา,มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเขาทำงานอยู่ในแวดวงเน็ตเวิร์กถึง 4 ปี
ผลงานชิ้นโบว์แดงที่เขาภูมิใจคือ การปิดดีลทำเคเบิ้ลใต้น้ำร่วมกับบริษัทสิงคโปร์เพื่อเติมเต็มเส้นทางของทั้งสองบริษัทมีเส้นทางเคเบิ้ลใต้น้ำ ขณะที่พันธมิตรมีเส้นทางบนดินเพื่อให้บริการลูกค้ากับทั้ง 2 บริษัท จากนั้นจึงย้ายมานั่งตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคู่ค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ YAS ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์มือถือ และไอที
เริ่มนับหนึ่งธุรกิจคอนซูเมอร์
YAS ที่เขาดูแลเป็นงานคอนซูเมอร์ที่ในตลาดมีการแข่งขันสูง คู่แข่งที่นำเขาสินค้าเองโดยตรงจากประเทศจีน เพื่อแข่งขันด้านราคากันอย่างดุเดือดมีจำนวนมากขึ้น บิ๊ค ธนพนธ์ ยอมรับว่า ท้าทาย ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเหมือนเป็นการนับหนึ่งใหม่ แต่ด้วยคุณอาคือ วิชัย เบญจรงกุล ต้องการให้เขามาดูแลและขยายธุรกิจนี้เพราะยังไม่มีคนในครอบครัวเข้ามาดูแล จึงต้องการให้ YAS เติบโตและมีการขยายธุรกิจมากกว่านี้
แต่เดิม YAS มีสินค้าเพียงโทรศัพท์มือถือ เท่านั้น จึงต้องการขยายไปสู่สินค้าไอที เช่น กล้อง CCTV อุปกรณ์เสริมไอที แกดเจ็ตโน้ตบุ๊ก อุปกรณ์เน็ตเวิร์กต่างๆ สินค้า IoT ที่คอนซูเมอร์ สามารถติดตั้งเองที่บ้านได้ บิ๊ค ธนพนธ์ จึงเข้ามาเติมเต็มในส่วนผลิตภัณฑ์ไอที
ขณะเดียวกันก็ต้องการเสริมแกร่งให้กลุ่มบริษัทในเครือในการนำสินค้าของ YAS ที่เป็นอุปกรณ์เน็ตเวิร์กต่างๆไปให้บริการแก่ลูกค้า ด้วยจุดแข็งของกลุ่มบริษัทที่ใช้สินค้าของกลุ่มด้วยกันจะช่วยบริหารต้นทุนได้ดีกว่าการใช้ของบริษัทอื่น ทำให้แข่งขันได้ง่ายกว่า และที่ผ่านมา บิ๊ค ธนพนธ์ ก็ผ่านการเรียนรู้และรู้จักบริษัทและผู้บริหารในองค์กรมาแล้ว ทำให้การประสานงานต่างๆง่ายขึ้น
ที่ผ่านมาแต่ละคนต่างโฟกัสธุรกิจของตนเอง ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้อง Synergy ทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างความแกร่งของกลุ่มเบญจจินดา สร้างการต่อรอง และมีจุดแข็งที่ดีกว่าคู่แข่ง เราไม่ใช่แค่ตัวแทนจำหน่ายที่ซื้อมาขายไป เท่านั้น
สร้างทีมเน็ตเวิร์กเจาะโปรเจ็กต์ใหญ่
แม้ว่าสินค้าคอนซูเมอร์มียอดขายที่ดี แต่เมื่อดูเรื่องของกำไรแล้วพบว่า น้อย ด้วยการแข่งขันด้านราคาและการแข่งขันจากสินค้าประเทศจีนที่มีการนำเข้ากันเองมากขึ้น ทำให้ ปีนี้ YAS ตั้งเป้าเพิ่มสายผลิตภัณฑ์เป็น 8-10ผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ โดยเน้นสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ คือ อุปกรณ์เน็ตเวิร์ก ,CCTV, โซลูชันด้านความปลอดภัย และ โน้ตบุ๊ก ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างทีมขึ้นมาดูสายผลิตภัณฑ์เน็ตเวิร์กโดยเฉพาะด้วย เพราะกลุ่มสินค้าเน็ตเวิร์กต้องเจาะกลุ่มโครงการตามภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง set up ต้องรอวัดกันที่ไตรมาสแรก ผมว่าเรายังสามารถสร้างพื้นฐานที่ดีกว่านี้ได้อีก
ปีนี้ YAS ตั้งเป้ารายได้สินค้าไอทีอยู่ที่ 300 ล้านบาท ขณะที่ภาพทั้งบริษัทตั้งเป้าหมายรายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่สัดส่วนรายได้ยังมาจากโทรศัพท์มือถือ
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ไอทีของ YAS ตอนนี้ยังมีน้อยกว่าคู่แข่ง แต่จุดต่างของ YAS อยู่ที่บริการหลังการขาย เมื่อสินค้ามีปัญหา ลูกค้าต้องสามารถเปลี่ยนกับตัวแทนจำหน่ายของ YAS ได้ที่หน้าร้านทันที ไม่ต้องรอส่งซ่อม 7 วัน จึงมารับสินค้า เพราะบริษัทเข้าใจว่า ลูกค้าซื้อสินค้า เช่น กล้อง CCTV เพื่อความสบายใจ เพื่อความปลอดภัย รอไม่ได้
ทำงานแบบโค้ชนักกีฬา
สำหรับทีมในการทำงาน ตอนนี้ บิ๊ค ธนพนธ์ มีทีมอยู่ 8 คน เขายึดหลักการบริหารงานแบบโค้ชนักกีฬาที่เขาชื่นชอบ คือ ไม่ยึดติดว่าแต่ละคนต้องทำงานหน้าที่เดียว หากศักยภาพของทีมพร้อมที่จะไปทำในส่วนอื่น ก็สามารถทำได้ ให้โอกาสทีมแสดงศักยภาพเต็มที่
หลักบริหารตรงนี้ บิ๊ค ธนพนธ์ เล่าว่า ได้มาการจากเรียนและทำงานอยู่ที่ออสเตรเลีย และการเป็นครูสอนกีฬา จึงได้นำวิธีการของการเป็นโค้ชมาประยุกต์ใช้ การสร้างทีมทำงาน ก็เหมือนการปั้นนักกีฬา ที่อยากเห็นการพัฒนา และยินดีที่เขาจะหาโอกาสให้ตนเอง จากเดิมที่เล่นกองหน้า ก็เปลี่ยนมาเป็นปีกซ้าย ปีกขวาได้ ต้องพิสูจน์ว่าตัวเองทำได้ ก็พร้อมสนับสนุน
ปีนี้ทั้งปี YAS จะกลายเป็นดาวเด่นอีกตัวที่มีสีสันในตลาดไอที ที่คู่แข่งต้องจับตามอง อย่างแน่นอน