ทำความเข้าใจ 'ข้อดีของสงคราม'
“เดิมแผ่นดินจีนทั้งปวงนั้นเป็นสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข”
“เดิมแผ่นดินจีนทั้งปวงนั้นเป็นสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข” เป็นทั้งคำเริ่มต้นวรรณกรรมสามก๊กในนิยาย และเป็นคำบรรยายสถานการณ์ความเป็นจริงของอาณาจักรจีนที่วนเวียนอยู่กับวัฏจักรสงครามและสันติสุขซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซึ่งที่จริงไม่ว่าอารยธรรมไหนก็ไม่ต่างกัน
ถ้าจะผลักไสสงครามให้เป็นเรื่องอัปมงคล ไม่เอามาพูดไม่เอามาวิเคราะห์ดีเสีย หรือจะประดับประเคนความเลวร้ายทุกอย่างให้ ก็คงไม่ใช่วิถีการเรียนรู้ความเป็นไปของสังคมมนุษย์ที่ดี
แล้วสิ่งเลวร้ายที่ขาดไม่ได้ในทุกอารยธรรม เช่น สงครามนี้ มันมีดีจริงหรือ?
ถ้าจะบอกว่าข้อดีคือการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ไม่ว่าทางตรง (ฆ่าแกงกันอย่างไฮเทคขึ้น) หรือทางอ้อม (มีเทคโนโลยีพลอยได้มาใช้ในชีวิตประจำวัน) ก็ต้องบอกว่าวาทกรรมแบบนี้ เป็นของคนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากสงคราม
ซึ่งย่อมไม่มีความร่ำรวยและเทคโนโลยีใด ที่คุ้มค่าแก่การต้องเอาชีวิตและความวอดวายแห่งสงครามไปแลกมาแล้วจะยังมีข้อดีที่ทำให้มนุษย์ทุกวันนี้ปฏิเสธสงครามที่ผ่านมาไม่ได้เลยอยู่หรือไม่?
สงครามทุกวันนี้ ดูแล้วนับวันยิ่งรุนแรงและเลวร้าย เช่นสงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา มีคนต้องตายจากภัยสงครามไปเกือบร้อยล้านคน ไหนจะภาพความโหดร้ายในการฆ่าล้างพันธุ์กลุ่มชาวยิว และการฆ่าล้างเมืองที่นานกิง รวมถึงสงครามเย็นจนถึงการสะสมหัวรบนิวเคลียร์ของหลายชาติในทุกวันนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือผลพวงของสงครามโลกที่ผ่านมา
สงครามจึงดูมีแนวโน้มว่า จะยิ่งใหญ่และเลวร้ายตามยุคสมัยขึ้นทุกที
แต่ถ้าใช้แนวโน้มนี้คิดย้อนกลับ... แสดงว่ายุคก่อนหน้านี้อันยาวนานนั้น สงครามน่าจะโหดร้ายและอันตรายต่อผู้คนน้อยกว่านี้ โดยเฉพาะถ้าย้อนไปสมัยบรรพกาล ที่คำว่า “ชาติ” หรือ “ก๊ก” ยังไม่ก่อตัว
คำตอบอาจผิดคาด เพราะในยุคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักคำว่าชาติ แม้ยังไม่มีการรวมตัวฆ่าฟันกันที่เรียกได้ว่าเป็นสงคราม แต่การฆ่าฟันกันเองนี่แหละที่น่าจะมีสถิติที่น่ากลัวกว่าสงครามยุคหลังด้วยซ้ำไป
เช่นเมื่อครั้งชาวตะวันตกเข้าสำรวจแถบขั้วโลกเหนือในช่วงปี 1950-1960 แล้วพบกับหมู่บ้านชาวเอสกิโมที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบบรรพกาล ซึ่งน่าจะเอาเรี่ยวแรงส่วนใหญ่ในชีวิตไปหาอาหารในพื้นที่อันหนาวเหน็บและกว้างใหญ่ และยังดูเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่เป็นมิตร (เมื่อเทียบกับประสบการณ์การค้นพบชนเผ่าอื่นของชาวตะวันตก) กลับมีสถิติว่าชายหนุ่มทุกคนในหมู่บ้านล้วนเคยฆ่าคนมาแล้วทั้งสิ้น
รวมถึงข้อมูลจากนักมานุษยวิทยา ที่ศึกษาโครงกระดูกมนุษย์ชนเผ่าโบราณที่มีวิถีชีวิตแบบล่าสัตว์หาของป่า ได้ค้นพบว่า กลุ่มตัวอย่างชายในชนเผ่า มักถูกฆาตกรรมถึงหนึ่งในสาม หรือบางแห่งอาจจะถึงครึ่งหนึ่งของชนเผ่าด้วยซ้ำไป
หากเทียบอัตราส่วนข้างต้นกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มียอดผู้เสียชีวิตจากสงครามประมาณ 60 ล้านคน จากจำนวนประชากรโลกยุคนั้นที่มีอยู่ประมาณ 2,200 ล้านคน จะคิดได้เป็นประมาณ 3% ก็อาจสรุปได้ว่า การอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังมีโอกาสรอดจากการถูกฆ่าฟันมากกว่าในสังคมบรรพกาล แต่เพราะสงครามในศตวรรษที่ 20 อาวุธมีศักยภาพสูงกว่า ข่าวสารว่องไวกว่า เราจึงรู้สึกได้ว่าสงครามรุนแรงและใกล้ตัวขึ้น ทั้งที่สถิติของสงครามยุคใหม่กลับทำร้ายผู้คนในสัดส่วนที่ต่ำลง
หรือหากเทียบกับสงครามโบราณเช่นในยุคสามก๊ก ที่ในช่วงเวลากว่า 90 ปี ทำให้ประชากรจีนลดจาก 60 ล้านคนเหลือ 8-16 ล้านคน ซึ่งก็คือหายไปประมาณ 75-90% หรือสงครามใหญ่อย่างสงคราม 30 ปีของยุโรปในศตวรรษที่ 17 ก็ทำเอาประชากรในแผ่นดินเยอรมนีหายไปถึง 2 ใน 3 ต่างมีสถิติอัตราส่วนการทำลายล้างมนุษยชาติที่รุนแรงกว่าสงครามสมัยใหม่
จริงอยู่ เนื่องจากสงครามมีหลากหลายปัจจัย การเปรียบเทียบของตัวอย่างข้างต้นอาจมีหลายประเด็นที่ไม่แฟร์ แต่อย่างน้อยตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น คงทำให้พอเห็นได้ว่า สงครามสมัยก่อนมีแนวโน้มคุกคามชีวิตผู้คนในพื้นที่พิพาทมากกว่าสงครามยุคใหม่
แต่เอาเป็นว่า ถ้าเง็กเซียนฮ่องเต้มีบัญชาให้พวกเราทุกคนต้องเลือกไปเกิดใหม่ในพื้นที่และเวลาแห่งสงครามข้างต้นทั้งหลายโดยไม่บอกเงื่อนไขอื่นใด (เช่นจะให้เกิดเป็นใคร พวกไหน) ท่านก็น่าจะได้พบกับนักมานุษยวิทยาจำนวนไม่น้อยและผู้เขียน ที่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนเพราะสงครามยุคใกล้ที่ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น กลับสั่นคลอนมนุษยชาติในอัตราส่วนที่น้อยลง
ทั้งนี้ เนื่องจากการฆ่าฟันในวิถีบรรพกาลไม่ว่าใครย่อมมีโอกาสเป็นคู่ปรับในการใช้ความรุนแรงกับใครก็ได้ แต่เมื่อสังคมชาติเกิดขึ้นแล้ว ความรุนแรงจึงถูกผันเป็นความรุนแรงของคนกลุ่มหนึ่งต่อกลุ่มอื่น
ในด้านหนึ่ง ภาพการปะทะกันแบบร่วมกลุ่มย่อมรุนแรงขึ้นเป็นธรรมดา
แต่ในอีกด้าน ภายในแต่ละกลุ่มกลับเกิดการจัดการความสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ความรุนแรงไม่ฆ่าฟันกันภายในกลุ่มย่อยอีกต่อไปเป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ เพราะเท่ากับว่า สงครามนี่แหละที่ผลักดันและยกระดับให้เกิดการจัดการความสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ความรุนแรงระหว่างคนในกลุ่มเดียวกัน
ขณะที่ต้องเผชิญความเป็นตายร่วมกัน ทุกคนย่อมพร้อมใจกันสงวนจุดต่าง และหาทางร่วมมือกัน จนทำให้เกิดคนบัญชาการ เป็นลำดับชั้นต่อๆ กันไปหากไม่มีสงคราม ทุกคนก็เป็นคนเท่ากัน ย่อมไม่มีใครจำเป็นต้องฟังใคร
ในเรื่องการส่งผู้แทนไปร่วมประชุมพร้อมกับฝรั่งหัวเหลืองหัวแดงที่อีกด้านของโลกที่ UN หรือคนทุกท้องถิ่นต้องเชื่อฟังบัญญัติและฉันทามติของตัวแทนทั่วไทยที่ประชุมกันในสัปปายะสภาสถาน คือสิ่งไร้สาระสิ้นดีสำหรับชาวสังคมบรรพกาล (ซึ่งไม่พอใจใครก็ทุบหัวกันได้ทันที)
สรุปคือด้วยประวัติศาสตร์ที่เกิดจากการผลักดันของสงคราม จึงทำให้เกิดพัฒนาการของความร่วมมือที่ขยายตัวออกไป จากครอบครัวเป็นชนเผ่า จากชนเผ่าเป็นนครรัฐ จากนครรัฐเป็นประเทศและอาณาจักรอันซับซ้อนและกว้างใหญ่ขึ้น
และสงครามก็มิได้เป็นเพียงแค่การกดดันให้เกิดความสามัคคีกันภายใน แต่ยังเป็นจุดที่ทำให้อารยธรรมมนุษย์ต้องก้าวกระโดดขึ้นไปอีก“เป็นสุขแล้วเป็นศึก เป็นศึกแล้วเป็นสุข” อาจดูเหมือนว่าใต้หล้านี้จะต้องหมุนวนไม่มีที่สิ้นสุด
แต่กลับไม่ใช่ เพราะแต่ละครั้งที่อาณาจักรแตกแยกแล้วรวมขึ้นใหม่ อารยธรรมก็ถูกบังคับให้พัฒนากลไกความร่วมมือกันภายในขึ้นมาอีกระดับและไม่ใช่แค่ความร่วมมือกันภายในอาณาจักรเท่านั้น กับดินแดนข้างเคียงก็ยิ่งเสาะหาหนทางความสัมพันธ์กันได้มากขึ้น
วัฏจักรศึกและสุข จึงเป็นการหมุนวนไต่ระดับแบบลวดสปริง ที่ดูมุมหนึ่งเหมือนหมุนวนก็จริง แต่ดูในอีกมุมก็ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปและจุดที่ต้องหมุนวนมาทบกันเพื่อไต่ระดับก็ไม่ใช่อื่นใด นอกจากสงคราม
เมื่ออังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย เริ่มก่อร่างสร้างตัวเป็นรัฐสมัยใหม่ที่เข้มแข็ง ความร่วมมือภายในประเทศที่เข้มแข็งขึ้น ก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จนตามมาด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2
ต้องหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ฉันทามติที่ทำให้ทั้งโลกรู้ว่าไม่ควรจะรบกันอีกต่อไปถึงเกิดขึ้นได้ จึงได้กลายเป็นปรากฏการณ์สงครามเย็น ที่แม้สองขั้วอำนาจจะขัดแย้งกันรุนแรงขนาดไหน แต่ไม่มีใครกล้าลงมือ
ที่จริงแล้ว สงครามก็คือหัวหอกของความร่วมมืออีกระดับของมนุษยชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งรบกันยิ่งใหญ่ ความร่วมมือต่อมาก็ต้องยิ่งใหญ่ตามประวัติศาสตร์ของสงครามจึงปิดฉากด้วยความร่วมมือกันในระดับยิ่งๆ ขึ้นไป และเมื่อสามารถยกระดับหรือเสาะหารูปแบบความร่วมมือกันในกลุ่มก้อนหลังสงครามได้สำเร็จ โดยทั่วไปก็จะไม่เกิดสงครามระหว่างกลุ่มก้อนนั้นอีกยาวนาน
นอกเสียจากว่าจะเกิดกลุ่มคนที่มีความต้องการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ในกลุ่มก้อนเดิม สงครามจึงอาจเกิดขึ้นจากภายในกลุ่มก้อนที่เคยสงบไปแล้ว...แต่แม้ทั้งหมดจะฟังดูมีเหตุผลดี แต่ทุกคนคงตงิดๆ ว่าสงคราม จะกลายเป็นเรื่องดีได้อย่างไร?
และนี่คือประเด็นที่แท้จริง...
ถ้าคำตอบคือ “ใช่ สงครามมีข้อดี” ก็แสดงว่าเราควรจะทำสงครามกันยิ่งมากยิ่งดีใช่หรือไม่? แน่นอนว่าตรรกะนี้พิกลพิการ
เพราะข้อสรุปนี้ไม่ต่างจากเมื่อรู้ว่าการได้รับเชื้อโรคบ้าง จะส่งผลดีต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย แล้วเลยสนับสนุนพฤติกรรมหาเชื้อโรคมาใส่ตัวหรือพอรู้ว่าธรรมชาติย่อมคัดสรรสิ่งที่ปรับตัวได้ให้อยู่รอดต่อไป เลยสนับสนุนให้ทอดทิ้งกลุ่มคนที่ปรับตัวไม่ได้อย่างไม่ใยดี
คนที่แยกแยะได้ ย่อมสามารถแยกมุมมองที่แฝงไว้ในเรื่องนี้ออกจากกัน ซึ่งก็เพราะเรื่องข้อดีของสงคราม ภูมิคุ้มกันจากการรับเชื้อโรค และการคัดสรรจากธรรมชาติมิอาจถูกกำหนดด้วยเจตจำนงของมนุษย์
มนุษย์จึงอาจวิเคราะห์ได้ว่าสงครามมีข้อดี แต่เราไม่สามารถสังเคราะห์ผลดีจากการก่อสงครามได้ตามใจเรา
ในขณะที่สายตาเรามองได้ยาวไกล แต่ในขอบเขตที่เรามองเห็นได้ก็ใช่ว่ามือเราจะเอื้อมถึง เพื่อที่จะเดินไปข้างหน้า จึงต้องเห็นว่าวิถีของโลกเป็นอย่างไร และต้องใส่ใจว่าควรจะทำอะไรในระยะใกล้มือใกล้ตัว
ในระยะที่เอื้อมถึงก็ดูเหตุการณ์เฉพาะหน้า พิจารณาถูกผิด ทำสิ่งที่ควรจะเป็น ส่วนที่ไกลออกไปจึงดูภาพรวม พิจารณาแนวโน้ม เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริงในระยะที่เอื้อมถึง ทุกอย่างที่ทำคือต้นเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลง ในส่วนที่ไกลออกไป ก็มองเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือผลจากการกระทำในสิ่งที่ถูกต้องตามทิศทาง
คัมภีร์เต๋าว่าไว้ “ฟ้าดินไร้เมตตา เห็นสรรพสิ่งเป็นเช่นหุ่นฟาง” ในขณะเดียวกันขงจื้อก็เรียกร้องให้มนุษย์ทุกผู้ “อย่าละทิ้งซึ่งเมตตาธรรม” คนที่แยกแยะและเข้าใจคำพูดทั้งสองด้านนี้ได้ในคนเดียว ย่อมไม่หงุดหงิดหรือสับสนเกินไปกับวิถีของชีวิตและวิถีของโลกอันต้องหมุนเวียนและเปลี่ยนแปลง
หากสนใจในประเด็นนี้ สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ NONZERO: The Logic of Human History เขียนโดย Robert Wright


