ปั้น"ข้าวตราฉัตร"ระดับโลก ลุยส่งออก
ข้าวตราฉัตร ประกาศสร้างยี่ห้อสู่โกลบอลแบรนดิ้ง ในอีก 3 ปี พร้อมเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้า ดันรายได้สิ้นปีโต 20%
ข้าวตราฉัตร ประกาศสร้างยี่ห้อสู่โกลบอลแบรนดิ้ง ในอีก 3 ปี พร้อมเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้า ดันรายได้สิ้นปีโต 20%
นายยงยุทธ พฤกษ์มหาดำรง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด ผู้ดำเนินธุรกิจข้าวถุงภายใต้แบรนด์ ตราฉัตร เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ข้าวตราฉัตรให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งในส่วนของตลาดในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการออกมาทำกิจกรรมการตลาดและกิจกรรม ส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในส่วนของปีนี้บริษัทจะยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเดิมให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างประเทศจีนและแอฟริกา เนื่องจากในอีก 3 ปีนับ จากนี้ บริษัทต้องการพาแบรนด์ข้าวตราฉัตรก้าวสู่การเป็นโกลบอลแบรนดิ้ง
สำหรับแผนการทำตลาดในประเทศปีนี้ บริษัทจะเน้นไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มของข้าวเพื่อสุขภาพภายใต้ชื่อ ข้าวตราฉัตรไลท์เข้ามาทำตลาด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ โดยข้าวดังกล่าวจะมีราคาสูงกว่าข้าวหอมมะลิประมาณ 5% และเพื่อสร้างแบรนด์ข้าวตราฉัตรไลท์ให้เป็นที่รู้จัก บริษัทจึงได้มีการใช้งบ 15 ล้านบาท ทำการตลาดภายใต้กลยุทธ์ สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง แพลตฟอร์ม เพื่อสนับสนุนการสร้างโภชนาการที่ดีในมื้ออาหารหลักให้กับนักกีฬาไทย
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเข้าไปทำตลาดในส่วนของข้าวขาวธรรมดาและข้าวเหนียวเพิ่มเติม หลังจากปัจจุบันข้าวตราฉัตรสามารถเป็นผู้นำตลาดในส่วนของข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมผสมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดในส่วนของข้าวขาวธรรมดาและข้าวเหนียวด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มของข้าวเหนียว ซึ่งปัจจุบันคนไทยให้ความสนใจบริโภคข้าวดังกล่าวเพิ่มขึ้น
"ในส่วนของช่องทางขายบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับ 3 ช่องทางหลักคือ ห้างค้าปลีก ร้านค้าทั่วไป และฟู้ดเซอร์วิส ซึ่งหลังจากขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นคาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้โตไม่ต่ำกว่า 20% จากปี 2561 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5,800 ล้านบาท" นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ กล่าวอีกว่า ภาพรวมตลาดข้าวสารไทยปีที่ผ่านมามีมูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 6 ล้านตัน ที่ผลิตออกมาจำหน่าย ซึ่งในมูลค่าดังกล่าวแบ่งเป็นตลาดข้าวถุงประมาณ 2.5-3 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% โดยขนาดของข้าวถุงที่ได้รับความนิยมจาก ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันคือ 5 กิโลกรัม และ 1 กิโลกรัม เนื่องจากคนไทยมีครอบครัวขนาดเล็กลง จึงทำให้ซื้อข้าวขนาด 15 กิโลกรัม หรือ 1 ถังลดลง


