กวิน กาญจนพาสน์ ขยาย3ธุรกิจเชื่อมอาเซียน
ความแออัดของผู้คนในเมืองหลวงของประเทศในกลุ่มอาเซียน
โดย วารุณี อินวันนา
ความแออัดของผู้คนในเมืองหลวงของประเทศในกลุ่มอาเซียน ก่อให้เกิดเส้นทางรถไฟฟ้ากลางเมืองใหญ่ เพื่อนำพาผู้คนเข้าสู่ห้องทำงาน ทำธุรกิจ กลับบ้านได้ทันเวลา ไม่ว่าจะเป็นในไทย มาเลเซีย รวมถึงอินโดนีเซีย ที่กำลังจะเปิดเดินรถในเร็วๆ นี้ และประเทศอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา
กวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย มองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจในการที่จะเข้าไปเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ของผู้คนในอาเซียนแบบไร้รอยต่อทางพรมแดนโดยเฉพาะการเดินทางโดยรถไฟฟ้าและรถขนส่งมวลชนใจกลางเมือง ที่ต้องการให้บัตรแรบบิทสามารถใช้ที่ไหนก็ได้ทั่วอาเซียนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในการออกไปทำธุรกิจต่างประเทศในอาเซียน กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือนักธุรกิจที่ทำรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Metropolitan Rapid Transit : MRT) และรถขนส่งมวลชนอื่นๆ หรือ Mass Transit เพราะสามารถประเมินได้ว่าทำรายได้ได้แน่นอนภายในกี่ปี ซึ่งการเจรจาธุรกิจจะทำในนามกลุ่มบีทีเอส ที่มีรถไฟฟ้า มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการระบบไฟฟ้า มีบริษัท วีจีไอ มีบัตรอี-เพย์เมนต์ ที่เป็นระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์และระบบโลจิสติกส์ หลังจากเจรจาจบจะให้บริษัท มาสเตอร์ แอด (MACO) ผู้ให้บริการสื่อโฆษณากลางแจ้งและสตรีทเฟอร์นิเจอร์เป็นคนทำธุรกิจในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถไฟฟ้ารัฐบาลหรือนักธุรกิจท้องถิ่นของแต่ละประเทศจะทำเอง ทางกลุ่มบีทีเอส จะเข้าไปได้ใน 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจสื่อโฆษณา ชำระเงิน โลจิสติกส์ หรือการขนส่ง ที่อยู่ภายใต้บริษัท วีจีไอฯ ส่วนการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้าบ่อยครั้งให้บริการฟรี
“เป้าหมายแรกอยากทำธุรกิจให้ครอบคลุมอาเซียน อยากให้คนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าที่เป็น Mass Transit ในอาเซียน เพียงมีบัตรแรบบิทก็สามารถใช้เดินทางในประเทศไหนก็ได้ในย่านนี้ ซึ่งช่วงเริ่มต้นจะเชื่อม 3 ประเทศให้ได้ก่อน คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่กำลังจะเปิดระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงจาการ์ตาและปริมณฑล (Metropolitan Rapid Transit : MRT) อย่างเป็นทางการตามแผนของรัฐบาลประมาณเดือน มี.ค. 2562 และอยากให้สามารถใช้บัตรแรบบิทกับ Mass Transit ได้ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือสิ่งที่เราอยากไป แต่จะไปถึงหรือเปล่านั้นเรากำลังพยายามอยู่” กวิน อธิบาย
กวิน กล่าวว่า กลุ่มบีทีเอสมีโอกาสสูงในการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศอื่นแถบอาเซียน เพราะมีรูปแบบการทำธุรกิจ (ฺBusiness Model) ที่ไม่เหมือนใคร สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจอื่นๆ สูงถึง 25% และยังมีโอกาสเพิ่มรายได้ส่วนนี้ได้อีกในอนาคต ขณะที่รายได้จากค่าตั๋วรถไฟฟ้ามีประมาณ 85-88% ทำได้ดีกว่าธุรกิจการบริหารรถไฟฟ้าในประเทศอื่นๆ จะมีรายได้หลักจากค่าตั๋วรถไฟฟ้าถึง 90% และรายได้อื่นประมาณ 10% เท่านั้น ซึ่งฮ่องกงก็มีรายได้จากธุรกิจอื่นประมาณ 10% เช่นกัน ทำให้ทุกคนที่ทำธุรกิจการบริหารรถไฟฟ้าในแถบนี้สนใจที่จะทำธุรกิจด้วย เพราะแพลตฟอร์มที่ทำให้ธุรกิจ 1+1 กลายเป็น 3 ไม่ใช่ 1+1 ได้แค่ 2
สำหรับขั้นตอนการเข้าไปขยายธุรกิจในต่างประเทศจะเริ่มจากธุรกิจสื่อโฆษณาเป็นลำดับแรก ยกตัวอย่าง การเข้าไปในมาเลเซียเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ในนามบริษัท มาสเตอร์ แอด โดยการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัท วีจีไอ มาเลเซีย (VGM) ครอบครองสิทธิบริหารสื่อในมาเลเซีย ทั้งในสนามบิน รถไฟฟ้า
ซูเปอรมาร์เก็ต รวมถึงสื่อโฆษณานอกบ้าน และยังได้รับสัมปทานสื่อใน MRT อินโดนีเซียเป็นระยะเวลา 20 ปี
ทั้งนี้ ธุรกิจในมาเลเซียเริ่มคืนทุนเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเร็ว เป็นผลมาจากการเข้าไปร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่น ทำให้กลายเป็นผู้นำและสามารถกำหนดราคาค่าโฆษณาได้ โดยขั้นตอนต่อไปคือการนำระบบการชำระเงินหรือ อี-เพย์เมนต์ เข้าไปให้บริการในระบบ Mass Transit ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าปี 2562 จะมีความชัดเจนออกมา
ขณะที่อินโดนีเซียที่เมืองจาการ์ตา ที่บริษัท วีจีไอ มาเลเซีย ได้รับสัมปทานสื่อใน MRT เป็นระยะเวลา 20 ปีนั้น มีทั้งหมด 13 สถานี 16 ขบวน 96 โบกี้ ความยาว 16 กิโลเมตร โดยครึ่งทางเป็นใต้ดิน และอีกครึ่งทางเป็นบนดิน และยังได้สิทธิในตอม่อทุกต้นด้วย ต่างจากไทยที่จะสามารถติดตั้งโฆษณาได้เฉพาะตอม่อที่อยู่ใต้สถานีเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพทางธุรกิจสูงมาก เพราะจำนวนประชากรในจาการ์ตาและปริมณฑลมีประมาณ 30 ล้านคน ค่าโฆษณาสูงกว่าไทย 2.5 เท่า ขณะที่ต้นทุนเท่ากัน นึกดูว่าเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีประชากรประมาณ 10 ล้านคน ยังมีคนใช้บริการบีทีเอสประมาณ 7-8 แสนราย/วัน คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี
ล่าสุด ยังได้ร่วมทุนกับบริษัท ซีนา มาส กรุ๊ป (Sinar Mas Group) กลุ่มธุรกิจรายใหญ่อันดับ 1 ในอินโดนีเซีย และเป็นผู้ส่งออกกระดาษอันดับ 1 ของโลก มีธุรกิจในมือหลากหลาย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ เทเลคอมที่มีลูกค้าอยู่ในมือร่วม 11 ล้านราย และมีธุรกิจการเงิน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับธุรกิจสื่อโฆษณา ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ และระบบโลจิสติกส์
ธุรกิจสื่อโฆษณากลางแจ้งเป็นธุรกิจแรกที่จะเริ่มได้ก่อน โดยทางซีนา มาส เป็นเจ้าของอาคารสำนักงาน โรงแรมอยู่ใจกลางเมืองที่ทำได้ทันที และยังมีเมืองใหม่ที่เขาสร้างเองบนพื้นที่ 4 หมื่นไร่ ซึ่งภายในนั้นจะมีรถไฟฟ้า รถขนส่งมวลชน ที่ทางบีทีเอสกำลังช่วยศึกษา และยังมีพื้นที่อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่รอการพัฒนาอีก หลังจากนั้นจะตามด้วยระบบการชำระเงินและโลจิสติกส์ที่จะต้องศึกษาและวางแผนร่วมกัน
ทั้งนี้ ในอนาคตจะมุ่งสู่การเป็นมาร์เก็ตติ้ง โซลูชั่น ให้บริการลูกค้าได้ครบวงจรทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ภายใต้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้จากธุรกิจรถไฟฟ้า ธุรกิจชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ สื่อโฆษณา และโลจิสติกส์ จะทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมายได้ตรงมากขึ้นและรวดเร็วแบบเรียลไทม์
กวิน กล่าวว่า วันนี้โครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจของกลุ่มบีทีเอสถือว่ามีความแข็งแกร่งมากแล้ว สามารถที่จะเข้าไปทำธุรกิจที่ไหนก็ได้ ส่วนที่เหลือเป็นการหาธุรกิจเข้ามาเสริมเพื่อให้รายละเอียดมีความแข็งแกร่งมากขึ้น จึงยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจในประเทศอื่นๆ ที่จะมีรถไฟฟ้าย่านใจกลางเมือง หรือ Mass Transit ในอาเซียนอยู่ตลอดเวลา
ทั้งในรูปของการร่วมลงทุนและการซื้อกิจการ เพราะเชื่อว่าด้วยรูปแบบทางธุรกิจ หรือ Business Model ที่มีอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเพียงรายเดียวในโลกและในอาเซียน ที่มีทั้งรถไฟฟ้า ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์ทั้ง 3 ธุรกิจนี้ถือเป็นพื้นฐานของทุกธุรกิจในยุคใหม่และอนาคต ที่จะต้องใช้การโฆษณา การชำระเงิน และการขนส่ง ทำให้กลุ่มบีทีเอส มีความได้เปรียบกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ที่มีธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเท่านั้น


