posttoday

ชุนชิว-ยุคสมัยแห่งสงครามที่เปลี่ยนไป

22 เมษายน 2561

ซ่งเซียงกง เป็น 1 ใน 5 อธิราชยุคชุนชิว ช่วงหนึ่งของชีวิตนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่

ซ่งเซียงกง เป็น 1 ใน 5 อธิราชยุคชุนชิว ช่วงหนึ่งของชีวิตนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่เหตุการณ์ในบั้นปลายชีวิตกลับมีแต่คนเยาะเย้ยถากถาง ชาวจีนมักเอาเรื่องซ่งเซียงกงมาสอนใจ ใช้คุณธรรมผิดที่...เพราะไปใช้คุณธรรมในสนามรบ

เรื่องมีอยู่ว่า ในยุคชุนชิวที่ซ่งเซียงกงมีชีวิตอยู่ แผ่นดินจีนยังมิได้รวมเป็นหนึ่ง จึงเต็มไปด้วยแว่นแคว้นนับร้อย ซึ่งแต่ละแคว้นมักขัดแย้งและแก่งแย่งชิงดีกัน

อิทธิพลของแต่ละแคว้นย่อมไม่เท่ากัน แต่ละช่วงจึงมีผู้นำแคว้นบางคนเป็นที่ยอมรับให้เป็นใหญ่กว่าแคว้นอื่น จนได้ชื่อว่าเป็น “อธิราช” มีสิทธิสั่งการและชี้นำแคว้นอื่นอยู่กลายๆ อาจเรียกได้ว่าเป็นประธานที่คอยตัดสินข้อพิพาท หรือเป็นเจ้าพ่อใหญ่ ตำแหน่งนี้ต้องใช้พระเดชพระคุณแย่งชิงกันเอง มิได้สืบทอดทางสายเลือดหรือมีใครแต่งตั้ง

ครั้งหนึ่งแคว้นฉีเกิดจลาจล ซ่งเซียงกงร่วมกับแคว้นอื่นๆ เข้าปราบปรามจนคืนความสุขให้แคว้นฉีได้สำเร็จ ซ่งเซียงกงจึงได้รับการยกย่องหนาหู

ขณะนั้นซ่งเซียงกงคิดว่าตัวเองมีอำนาจพอประมาณ มีคุณธรรมใช้ได้ จึงสถาปนาตัวเป็นอธิราช แต่ตำแหน่งเจ้าพ่อย่อมได้มาลำบาก ฉู่เฉิงกง-เจ้าแคว้นฉู่ที่มีกำลังอำนาจไม่แพ้กันกลับไม่ยินยอม แคว้นเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลือก็เสียงแตก ซ่งเซียงกงคิดกำราบแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่เข้าข้างแคว้นฉู่ โดยเริ่มจากแคว้นเจิ้ง แต่พอจะยกทัพไปสั่งสอน แคว้นเจิ้งก็ปรี่เข้าขอความช่วยเหลือจากลูกพี่แคว้นฉู่ทันที

ฉู่เฉิงกงต้องการตำแหน่งอธิราชเป็นทุนเดิม จึงอาศัยจังหวะนี้แสดงอิทธิพลว่าเป็นมหามิตรที่แสนดี ยกทัพใหญ่มาช่วยแคว้นเจิ้ง โดยยกทัพเข้าโจมตีแคว้นซ่ง ซ่งเซียงกงจึงต้องถอยทัพที่จะไปโจมตีแคว้นเจิ้งกลับมาตั้งรับแคว้นฉู่

ทัพทั้งสองหมายจะปะทะกันที่ริมลำน้ำหงสุ่ย โดยกองทัพของซ่งเซียงกงยกมาถึงก่อน จึงจัดกระบวนทัพรออยู่ ขณะที่กองทัพฉู่กำลังข้ามแม่น้ำอยู่เห็นๆ มู่อี๋-พี่ชายซ่งเซียงกงเสนอว่า “ทัพฉู่มีมาก ทัพเรามีน้อย หากอาศัยจังหวะนี้โจมตีทัพฉู่ ชัยชนะจักเป็นของเราแน่นอน”

ซ่งเซียงกงตอบว่า “เราคือทัพธรรม จะฉวยโอกาสตอนพวกเขาข้ามลำน้ำอยู่ เข้าโจมตีได้อย่างไร”

พอทัพฉู่ข้ามลำน้ำมาได้ กำลังจะจัดกระบวนทัพ มู่อี๋จึงบอกว่า “จังหวะนี้โจมตีได้แล้ว!”

ซ่งเซียงกงตอบว่า “รอเขาจัดทัพเสร็จก่อนเถิด”

เมื่อทัพฉู่จัดกระบวนเสร็จ ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน แคว้นซ่งแพ้ยับเยิน ซ่งเซียงกงบาดเจ็บที่ต้นขา อาการร่อแร่

ผู้คนต่างโทษซ่งเซียงกงว่าไม่ยอมเชื่อมู่อี๋ แต่ซ่งเซียงกงตอบกลับว่า “วิญญูชนทำศึกย่อมต้องมีคุณธรรม ไม่ทำร้ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เข่นฆ่าทหารชรา นี่แหละคือคุณธรรมแห่งการสงครามที่บรรพชนปฏิบัติต่อเนื่องกันมาโดยตลอด แม้แคว้นซ่งจะล่มสลาย แต่ไม่ขอฉวยโอกาสโจมตีกองทัพที่ยังจัดกระบวนไม่เรียบร้อย”

ซ่งเซียงกงกลายเป็นตัวอย่างการใช้คุณธรรมผิดที่ และยิ่งนานวันเข้าการกระทำของซ่งเซียงกงก็ยิ่งน่าหัวเราะ ซึ่งอันที่จริงมีสาเหตุหลักก็เพราะผู้คนห่างเหินจากธรรมเนียมการทำสงครามในยุคนั้นมาเนิ่นนาน

ย้อนไปก่อนหน้ายุคนั้น พฤติกรรมของซ่งเซียงกงยังเป็นที่เข้าใจได้ เหตุเพราะสงครามในยุคชุนชิว ต่างจากสงครามยุคหลัง สงครามในยุคชุนชิวคล้ายการแข่งขันกีฬา มากกว่ามุ่งประหัตประหารล้างโคตรกัน

อาจกล่าวได้ว่า บางครั้งสมรภูมิยุคชุนชิวยังมีทหารล้มตายน้อยกว่าการรัฐประหารในท้องพระโรงยุคเดียวกันเสียอีก

สงครามยุคนั้นเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ก่อนออกรบต้องทำพิธีเส้นสรวงบูชายัญ เดินทัพผ่านภูเขาลำธารที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องบวงสรวง บางครั้งมีการเชิญป้ายบรรพชนตั้งบนรถม้าไปพร้อมกองทัพและต้องทำพิธีกรรมบูชาทุกค่ำคืน

กองทัพในยุคชุนชิวต่างใช้กองรถม้าเป็นหลัก ทหารที่มีสิทธิร่วมรบบนรถม้าได้ก็มิใช่ชาวไร่ชาวนา แต่เป็นกลุ่มเครือญาติลำดับปลายๆ ของเจ้าแคว้นเจ้าแผ่นดินแต่โบราณ ถ้าจะมีชาวบ้านร่วมรบด้วยก็เป็นเพียงกองสนับสนุน (เช่น กองเสบียง หรือเอาไว้ใช้แรงงาน) การได้มีโอกาสผ่านสงครามของคนกลุ่มนี้ถือเป็นเรื่องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และการรบแต่ละทีก็มีกฎกติกามารยาทที่พึงรู้

ก่อนเปิดศึกมีทั้งการเป่าแตรลั่นกลองรบ บ้างครั้งมีพิธีส่งตัวแทนรถศึกเข้าไปดริฟต์โชว์ข้าศึก (ตีโค้งจนรถจวนเจียนจะคว่ำแต่ไม่คว่ำ) เพื่อประกาศศักดากันก่อน

ไม่ต่างกับการอวดแผงคอ คำราม ข่มขู่ ของสรรพสัตว์ตัวผู้ที่ต้องการประกาศอาณาเขตซึ่งจะไม่ต่อสู้กันถึงตาย

เมื่อเข้าสู่สนามรบก็มีกติกาเป็นที่รู้กัน (ส่วนใหญ่) ไม่ไล่ข้าศึกที่หนีไปแล้วเกิน 50 ก้าว ไม่ทำร้ายทหารที่บาดเจ็บ และไม่ฆ่าทหารชราก็เป็นหนึ่งในบรรดากฎเกณฑ์ทั้งหลาย

นอกจากจีนในยุคชุนชิวซึ่งยึดถือกติกามารยาทในสงครามแล้ว กรีกโบราณก็ถือว่าการลอบทำร้ายข้าศึกที่ไม่พร้อมเป็นความน่าละอายและเป็นการลบหลู่เทพเจ้า ส่วนอารยธรรมอินเดียโบราณถือว่าลอบทำร้ายนอกสนามรบ และการเปิดศึกในเวลากลางคืนเป็นเรื่องที่นักรบพึงละเว้น

แต่สงครามก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ย่อมมีวิวัฒนาการ สงครามยุคถัดมาไม่มีใครสนใจกฎกติกามารยาทอีกต่อไป หลักฐานสำคัญว่าการสงครามได้เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว คือ พิชัยสงครามซุนวูซึ่งเขียนขึ้นในปลายยุคชุนชิว

แน่นอนว่าสงครามไม่ได้เปลี่ยนเพราะซุนวูริเริ่มบอกให้รบกันด้วยกลยุทธ์ไม่เลือกหน้า แต่เป็นเพราะสงครามเริ่มรุนแรงและไร้รูปแบบขึ้นทุกทีจนซุนวูต้องออกมาล้างความเชื่อเดิมๆ ว่า สงครามมิใช่เรื่องของการเซ่นสรวง หรือกติกามารยาท แต่เป็นเรื่องของชัยชนะและการ
หลีกเลี่ยงความสูญเสียของฝ่ายตนเท่านั้น

ซ่งเซียงกงมิได้ใช้คุณธรรมผิดที่ แต่อาจกล่าวได้ว่าใช้ผิดยุคสมัย เพราะสงครามกำลังเปลี่ยน การประกาศศักดาด้วยกติกาและศักดิ์ศรีเก่าๆ ของบรรพชนไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป ผู้คนจึงเริ่มหัวเราะเยาะซ่งเซียงกงอย่างไม่ไยดีบริบทของยุคนั้น

สงครามเปลี่ยนแปลงตลอดมา มิใช่แค่เทคโนโลยีที่ฉาบผิวนอกเท่านั้น แต่ยังมีแนวคิดสงครามแปลกประหลาดอีกมากมาย ไม่ว่าสงครามก่อการร้ายที่ทำลายประชาชนผู้ไร้ทางสู้กลางใจเมือง หรือสงครามตัวแทนที่สองผู้มีอิทธิพลยักษ์ใหญ่คอยควบโดยใช้ประเทศที่อ่อนแอกว่าเป็นสมรภูมินอกบ้าน เป็นสนามประลองกำลัง

จุดประสงค์ของสงครามซึ่งต้องการชัยชนะเป็นที่ตั้งก็แตกแขนงออกไป บางประเทศใช้สงครามกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเบี่ยงเบนความสนใจทางการเมืองภายในประเทศ

สิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็คือ สงครามยังคงเป็นความสูญเสีย บาดเจ็บ ล้มตาย สร้างความเสียหายให้กับประเทศที่เป็นสนามรบ อยู่ที่ว่าคนที่ได้รับผลกระทบทางตรงจะเป็นนักรบ ชาวบ้าน หรือลูกเล็กเด็กแดง แต่ทุกคนในประเทศที่เกิดสงครามย่อมได้รับผลกระทบที่น่าเศร้าสลดไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ซ่งเซียงกงและนักรบในยุคชุนชิวคงเศร้าสลดกับความไร้ศักดิ์ศรีของสงครามยุคสองพันปีให้หลัง ขณะที่พวกเราในปัจจุบันต่างหัวเราะเยาะให้กับวิธีทำสงครามของซ่งเซียงกงเสมอมา

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"