ปฏิรูปแคว้นฉิน เริ่มที่รีดประสิทธิภาพขุนนาง
“อาชีพที่ง่ายที่สุดในโลกก็คือขุนนาง ใครที่แค่เป็นขุนนางยังทำไม่ได้ก็ถือว่าเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง...”
“อาชีพที่ง่ายที่สุดในโลกก็คือขุนนาง ใครที่แค่เป็นขุนนางยังทำไม่ได้ก็ถือว่าเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง...”
ประโยคประชดประชันเหมารวมและทำร้ายน้ำใจขุนนาง หรือข้าราชการแบบนี้ผมไม่ได้พูดเอง แต่เป็นหลี่หงจาง-ขุนนาง แม่ทัพ และนักการทูตแห่งราชสำนักชิงเคยว่าไว้
แต่ประโยคข้างต้นกลับใช้ไม่ได้กับข้าราชการแคว้นฉิน...
ด้วยจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างรวดเร็ว ทั้ง 7 แคว้นถูกฉินผนวกรวมได้ในช่วงระยะเวลาเพียง 10 ปี จึงดูเหมือนทั้งหมดเป็นผลงานของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทั้งที่ความเข้มแข็งของแคว้นฉินนั้นสั่งสมมาตั้งแต่ซางยางขึ้นบริหารแคว้นฉิน เมื่อ 6 รัชสมัยก่อนหน้า
ยุคนั้นแคว้นฉินล้าหลังกว่าแคว้นอื่น ขณะที่แคว้นอื่นปฏิรูปบ้านเมืองไปก่อนหน้าแล้วเป็นร้อยปี นักบริหารที่ชื่อซางยาง จึงค่อยได้เริ่มปฏิรูปแคว้นฉิน... ซางยางปฏิรูปด้วยกฎหมายเข้มงวดทางการทหารและเกษตรกรรม
“เข้มงวดการทหาร เข้มงวดเกษตรกรรม” ใครก็พูดได้...แถมแคว้นอื่นก็ทำไปแล้วทั้งนั้น
ฉินยุคนั้นมีทรัพยากรจำกัด แถมยังเริ่มต้นช้า จึงต้องแข่งกับเวลาและโฟกัสเข้มข้น ซางยางถึงขั้นละทิ้งกิจกรรมด้านอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการทหารและเกษตรกรรมไปทั้งหมด
ซางยางต่อต้านการค้าเพราะเห็นว่ามีแต่การเก็งกำไรและขูดรีด และเขาไปไกลถึงขั้นเสนอชัดเจนว่า ขอให้ชาวบ้านโง่เข้าไว้ ไม่ต้องให้การศึกษาตำรา ให้ทำนาเป็นอย่างเดียว จะได้ไม่วอกแวกฝันเฟื่องถึงอุดมคติใดๆ
ชีวิตชาวประชาในยุคซางยางจึงฟังดูน่ารันทดอย่างแรง ไม่ต้องมีการศึกษา ไม่ต้องมีวัฒนธรรม ละคร การละเล่น หัตถกรรม ศิลปกรรม ไม่มีผับบาร์ ไม่มีแม้แต่ 7-11 หรือถ้าจะให้มีความรู้อะไรบ้าง ก็มีไว้เพื่อรับคำสั่งจากทางราชสำนัก และเพื่อประสิทธิภาพในการทำนาเท่านั้นเป็นพอ
ชาวบ้านในสายตาของซางยางจึงมีไว้ปลูกข้าว ไม่ก็สังหารข้าศึก
แต่แล้วการปฏิรูปของซางยางก็นำไปสู่ความสำเร็จของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้จริง
คนที่มองไปที่ผลสำเร็จก็ชื่นชมการปฏิรูปแคว้นฉินของซางยางว่าดีงาม ส่วนคนที่วิจารณ์จากชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านและระดับวัฒนธรรมก็เห็นว่าโหดร้าย
โหดร้าย แต่ได้ผล...
กลายเป็นภาพสรุปง่ายๆ ที่ว่าความเข้มแข็งของบ้านเมืองต้องแลกมาด้วยความทุกข์ยากลำบากของประชาชน พูดอีกอย่างก็คือ หากบ้านเมืองต้องการเร่งรัดพัฒนา ประชาชนย่อมต้องโดนขูดรีดบ้าง... เป็นของคู่กัน
แต่นี่เป็นข้อสรุปที่ลวงตา โดยเฉพาะกับกรณีแคว้นฉิน!
เพราะความเข้มแข็งของแคว้นฉินไม่ได้มาจากการกดดันแต่กับชาวบ้าน แต่เกิดขึ้นเพราะแคว้นฉินเข้มงวดกดดันกับทุกคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขุนนาง!
ซางยางให้ความสำคัญกับการปฏิรูปขุนนางขนาดไหน ดูได้จากมาตรการที่จับต้องได้มาตรการแรกในตำราการบริหารแคว้นที่ซางยางเขียนไว้ เขาเริ่มต้นด้วยเรื่องประสิทธิภาพของขุนนาง
ซางยางเริ่มต้นว่า “ห้ามมิให้ข้าราชการคั่งค้างงานข้ามวัน...” พูดง่ายๆ คือ ห้ามขุนนางดึงเชง!
ซางยางให้เหตุผลว่า หากบ้านเมืองยอมให้ขุนนางประวิงเวลา ย่อมนำมาซึ่งการคอร์รัปชั่น... ใครเคยติดต่อกับหน่วยงานราชการที่อืดอาดยืดยาดเกินจำเป็นนั้น ย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี
ตัวอย่างเช่น การขออนุญาตปลูกสร้างอาคารกับทางราชการ ถ้าบ้านเมืองมิได้กำหนดให้ข้าราชการต้องเดินเรื่องรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ย่อมเปิดช่องให้ข้าราชการแกล้งถ่วงเวลายืดเยื้อ เรียกหาอามิสสินจ้างได้
ไม่จ่ายไม่เป็นไร เราก็เช้าชามเย็นชามกันต่อไป เดี๋ยวถึงเวลาค่อยทักว่าส่งเอกสารไม่ครบ...
กฎหมายรัฐฉินจึงกดดันขุนนางให้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว นอกจากเพื่อหลีกเลี่ยงการทุจริตรีดนาทาเร้นชาวบ้านยังช่วยลดปัญหาคนแอบก่อสร้างไปก่อน จ่ายทีหลัง (เพราะทนความล่าช้าไม่ไหว) หรือแอบลักลอบสร้าง (เพราะต้องการหลบหลีกเรื่องเสียเวลา หรือค่าใช้จ่ายด้านมืด)
แม้ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงเรื่องสมมติจริงๆ แต่สิ่งที่จริงแท้แน่นอนก็คือ ระบบราชการมีประสิทธิภาพ จึงเข้มงวดกับชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิผล
ซางยางยังชี้แจงในตำราด้วยว่า ประสิทธิภาพของขุนนางทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเสียเวลาทำไร่ไถนาและไม่โดนขูดรีด และเมื่อประหยัดเวลาชาวบ้านได้จึงเท่ากับรักษาผลประโยชน์ในเกษตรกรรมของแว่นแคว้น
แคว้นฉินยังก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการกำหนดความผิดของขุนนางไว้ 2 อย่าง “คือ ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ หรือไม่ทำเรื่องที่ควรทำ”
ลองสังเกตประโยคหลัง นี่คือข้อกำหนดเกี่ยวกับ “การละเลยการปฏิบัติหน้าที่” ของขุนนางอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน
เรื่องที่ไม่ควรทำ เช่น การคอร์รัปชั่น แคว้นฉินกำหนดให้การคอร์รัปชั่นแม้เพียงเหรียญเดียวต้องโดนสักหน้าและไปใช้แรงงานสร้างกำแพงเมืองจีน
ส่วนขุนนางที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ต้องโทษสักหน้า ปรับ และห้ามเข้ารับราชการอีก โดยคดีไม่มีหมดอายุความ ไม่ว่าขุนนางคนนั้นจะโดนย้ายหรือลาออก ขอเพียงมีหลักฐานย่อมสามารถเอาผิดได้
และชาวบ้านคือผู้มีสิทธิร้องเรียน...นี่คือบัญญัติของซางยางเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว
กลายเป็นว่าสำหรับแคว้นฉิน อาชีพที่ยากที่สุดก็คือขุนนาง เพราะแม้มีอำนาจ แต่ก็ใช้ตามใจชอบไม่ได้ จะไม่ใช้ ก็ไม่ได้เช่นกัน
หรือแม้ขุนนางคนไหนอยากมีชีวิตง่ายๆ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับชาวบ้านจะได้ไม่ต้องโดนฟ้องจะขอเป็นขุนนางสำนักปศุสัตว์หรือไม่ก็เฝ้ายุ้งฉาง
กฎหมายฉินยังกำหนดว่า หากมีแม่วัว 10 ตัว ในความดูแล แล้ว 6 ตัวไม่ตกลูกถือเป็นความผิด เฝ้าแม่แพะ 10 ตัว หาก 4 ตัวไม่ตกลูกถึงเป็นความผิด ในยุ้งฉางหากเพียงแค่พบรังหนูมากกว่า 3 รังขึ้นไปก็เป็นความผิดเช่นกัน ขุนนางตำแหน่งนั้นๆ ต้องโดนจัดการ
เป็นขุนนางแคว้นฉินง่ายเสียที่ไหน ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งใดก็ต้องเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ที่เห็นว่าแคว้นฉินโหดร้ายต่อชาวบ้าน แท้ที่จริงก็เข้มงวดกับขุนนางอย่างยิ่งยวดยิ่งกว่า
ด้วยข้อจำกัดของยุคนั้นจะยิ่งใหญ่ได้ย่อมต้องโหดร้ายเข้มงวด แต่ความเข้มงวดของแคว้นฉินแตกต่างจากการขูดรีดประชาชนอย่างไร้สติอย่างลิบลับ เพราะแคว้นฉินดำเนินการทั้งระบบอย่างเข้มข้นด้วยต้องการประสิทธิผลสูงสุด โดยเฉพาะกลไกบริหารบ้านเมืองอย่างระบบขุนนาง
ที่น่ากังวลคือความเข้าใจหลักการแบบแคว้นฉินโดยผิวเผิน แล้วคิดไปเองว่าต้องรีดทรัพยากรและแรงงานจากชนชั้นล่างมาพัฒนาส่วนรวมให้มากขึ้น แต่กลับเพิกเฉยต่อการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกลไกในองค์กร เช่นนี้แล้วย่อมนำมาซึ่งชื่อเสียงในเรื่องความโหดร้าย ไร้ประสิทธิภาพ แถมไม่มีผลงานอะไรฝากไว้ในความทรงจำ
ทั้งหมด คือสิ่งที่ซางยางนักบริหาร เมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้วคิดวิเคราะห์และทำเอาไว้ ผมไม่ได้พูดเอง


