posttoday

ยุทธศาสตร์ชาติ กับ Blue Economy

07 มกราคม 2561

ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่งกับการยกร่างยุทธศาสตร์ชาติในกลุ่มที่5

โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่งกับการยกร่างยุทธศาสตร์ชาติในกลุ่มที่5 การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ทะเล เราใช้แนวคิดที่โลกกำลังสนใจมาเป็นหลัก นั่นคือการพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่เรียกว่า Blue Economy

Blue Economy ประกอบด้วย 4 พัฒนา โดยคำนึงถึงธรรมชาติและระบบนิเวศเป็นสำคัญ หมายความว่าจะพัฒนาอย่างไรก็ตามแต่ ทะเลต้องมาก่อน การพัฒนาแบบนี้จะไม่ใช่ที่สร้างก็ทำกันไปที่ลดผลกระทบ หรือ CSR ก็ว่ากันไป แต่มันต้องผสมผสานรวมกันตั้งแต่ต้น

4 พัฒนาของ Blue Economy ไล่เรียงลำดับตามมูลค่าเริ่มจากการขนส่งทางทะเลที่อาจไม่ค่อยสำคัญในสายตา คนไทย แต่เชื่อไหมครับว่าการขนส่งในโลกกว่า 80% เป็นการขนส่งด้านนี้ เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าทางบกเยอะมาก

ยิ่งเศรษฐกิจโลกโตเท่าไหร่ การขนส่งทางทะเลยิ่งมีมากขึ้น จาก 100 ล้าน TEU/ปี กลายเป็น 300-400 ล้าน TEU ภายในอีก 15-20 ปี (TEU คือตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต ใช้เป็นหน่วยวัดความจุของเรือขนส่งทางทะเลครับ)

เมื่อการขนส่งทางน้ำครองโลกจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ เมือง ฯลฯ ย่อมอยากอยู่ติดทะเลเพราะประหยัดค่าขนส่ง พื้นที่ชายฝั่งทะเลจึงเจริญรวดเร็วกว่าพื้นที่อื่น

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแบบ Blue ต้องจัดการปัญหา โดยเฉพาะก๊าซเรือนกระจก แม้การขนส่งแบบนี้จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าแบบอื่น แต่เมื่อคิดรวมกันก็ประมาณ 2.2% ของก๊าซคาร์บอนที่มนุษย์ปล่อยออกมาในแต่ละปี และเมื่อการขนส่งทางน้ำรุ่งกว่าทางอื่น ในอนาคตสัดส่วนมีแต่เพิ่มขึ้น การลดก๊าซเรือนกระจกทำได้โดยใช้เทคโนโลยี ทั้งการออกแบบเรือ ระบบขับเคลื่อน กรีนพอร์ต ฯลฯ โดยมีเกณฑ์มาตรฐานที่เริ่มใช้แล้วแบบสมัครใจ (ซึ่งในอนาคตก็จะเริ่มเป็นแบบบังคับ)

การพัฒนาลำดับ 2 คือ การท่องเที่ยว ข้อมูลบอกว่าการท่องเที่ยวในเขตเอเชียตะวันออก (รวมอาเซียน) สร้างรายได้ 9% ของ GDP และเชื่อว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าภาคเกษตร 2-3 เท่า อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวที่ผ่านมา กระจุกตัวในพื้นที่บางแห่ง สร้างปัญหาต่อทรัพยากร รายได้ยังกระจุกตัว ไม่กระจายเท่าที่ควร

เมืองไทยเป็นตัวอย่างของโลกได้อย่างสบาย เพราะรายได้ท่องเที่ยวของเรา 20.6% ของ GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคเกิน 2 เท่า ปัญหาของการกระจุกตัวคงไม่มีใครเกินหน้าไทย เกาะไข่ พังงา มีพื้นที่แค่ไม่กี่สิบไร่ มีนักท่องเที่ยวปีละ 1.4 ล้านคน/ปี มากกว่ามัลดีฟส์ทั้งประเทศด้วยซ้ำ ยังมีเกาะพีพีกว่า 2 ล้านคน/ปี อ่าวพังงา 1.6 ล้านคน/ปี เกาะสมุยบวกพะงันบวกเต่า 3.6 ล้านคน/ปี ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง จ.ภูเก็ต หรือพัทยา ครับ

การพัฒนาแบบ Blue เน้นการกระจายคนให้ไม่กระจุกตัว กระจายรายได้ให้เข้าท้องถิ่นมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีเพื่อควบคุมจัดระเบียบ เช่น IoT และที่สำคัญคือ MSP (Marine Spatial Planning) หรือการแบ่งเขตชายฝั่งและทะเล

ลำดับ 3 ของการพัฒนาแบบ Blue คือ พลังงาน พลังงานในทะเลในอดีตหมายถึงปิโตรเลียมเพียงอย่างเดียว แต่ในอนาคตเราจะเริ่มเห็นพลังงานหมุนเวียนในทะเลมากขึ้น นอกจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ยังหมายถึงคลื่น กระแสน้ำ และน้ำขึ้นน้ำลง การพัฒนายังรวมถึงแหล่งแร่ธาตุในทะเลที่มีโอกาสนำมาใช้เพิ่มมากขึ้น

ลำดับสุดท้ายคือ การประมงที่ผ่านมามนุษย์เราจับสัตว์น้ำเยอะมาก ทะเลกว่า 58% ถูกบุกเบิกจับสัตว์น้ำที่เหลือก็เป็นพื้นที่ซึ่งไม่ค่อยมีสัตว์น้ำมากนัก การจับสัตว์น้ำในพื้นที่เหล่านั้นมากกว่า 1 ใน 3 เป็นการจับแบบ IUU หรือแบบทำลายล้างทรัพยากร Blue Economy จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่คุ้มครองทางทะเลตั้งเป้าว่าทุกประเทศต้องมีอย่างน้อย ร้อยละ 10 ของพื้นที่ทะเลในประเทศ ยังให้ความสำคัญกับ IUU อย่างที่ประเทศไทยโดนใบเหลือง

หากดูเฉพาะเขตเอเชียตะวันออก พวกเรากินสัตว์ทะเลปีละ 36 กิโล/คน มากกว่าค่าเฉลี่ยโลก 2 เท่า นอกจากนี้เรายังพัฒนาการเพาะเลี้ยงไปไกลมาก จนพื้นที่ชายฝั่งโดยเฉพาะป่าชายเลนหดหายไปเยอะ ในอนาคต Blue Economy จะมุ่งหน้าสู่ Sea Farming เพราะเราคงไม่สามารถทำลาย ป่าชายเลน เพื่อเปลี่ยนเป็นฟาร์มสัตว์น้ำอีกแล้ว

ทั้งหมดนั้นคือ 4 พัฒนาแบบ Blue Economy ที่กำลังเป็นแนวทางหลักที่เราใช้ในยุทธศาสตร์ชาติด้านเศรษฐกิจภาคทะเลครับ

ข่าวล่าสุด

กนง. เปิดเกมผ่อนคลายเต็มรูปแบบ ดอกเบี้ยขาลงรับเศรษฐกิจแผ่ว จับตาลดอีกเหลือ 1.0% ต้นปี 2569