ต้าอวี่ วีรบุรุษ 4,000 ปีที่จับต้องได้
ต้าอวี่ คือวีรบุรุษคนแรกๆ ในประวัติศาสตร์จีนซึ่งสร้างวีรกรรมที่จับต้องได้ ที่ว่าเป็นคนแรกๆ ในประวัติศาสตร์
โดย นิธิพันธ์ วิประวิทย์
ต้าอวี่ คือวีรบุรุษคนแรกๆ ในประวัติศาสตร์จีนซึ่งสร้างวีรกรรมที่จับต้องได้ ที่ว่าเป็นคนแรกๆ ในประวัติศาสตร์ เพราะต้าอวี่อยู่ในยุคสมัยกว่า 4,000 ปีที่แล้ว เมื่อแผ่นดินจีนยังไม่มีราชวงศ์ ไม่มีฮ่องเต้ มีแต่เรื่องราวที่เต็มไปด้วยตำนาน
ที่เรียกว่าวีรกรรมที่จับต้องได้ ก็เพราะต้าอวี่แตกต่างจากวีรบุรุษในตำนานทั่วไป ที่พอเป็นเรื่องเก่าแก่เมื่อไหร่ มักจะแฝงอิทธิฤทธิ์ หรือชาติกำเนิดพิสดาร ต้าอวี่ดูเป็นตำนานวีรบุรุษธรรมดากว่าบรรดาคนที่อยู่ในตำนานยุคเดียวกัน และวีรกรรมของเขามิได้เป็นการเข่นฆ่าศัตรูเลือดสาด แต่คือการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ
ในยุคนั้นชาวจีนต่างยังมีชีวิตและชื่อเรียบง่าย ต้าอวี่ก็เช่นกัน เขามีชื่อสั้นๆ ว่า "อวี่" ส่วนคำว่า "ต้า" นั้นแปลว่ายิ่งใหญ่ ผู้คนเพิ่มเติมให้ภายหลังเพื่อเชิดชูเขา
เขาทำอะไรถึงต้องเชิดชู?
อะไรๆ ในแผ่นดินจีนก็ยิ่งใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร อุทกภัยของจีนก็ไม่ยกเว้น แม่น้ำฮวงเหอหลากล้นแต่ละครั้งสร้างความสูญเสียต่อทั้งชีวิตและบ้านเมืองมหาศาล ชาวบ้านจะหนีไปอาศัยบนดอยก็ไม่ได้ เพราะพื้นที่ใกล้น้ำคือแหล่งเพาะปลูกยังชีพและผู้นำในยุคนั้นก็ไม่ได้ไล่ให้ใครไปอยู่ดอย แต่คอยสรรหาคนมาแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างจริงจัง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ กุ่น พ่อของอวี่
กุ่นเข้ามาทำหน้าที่แก้ไขน้ำท่วมอยู่ 9 ปี โดยใช้วิธีปิดกั้นทางน้ำหลากสร้างทำนบสูง ซึ่งก็เหมือนจะเป็นวิธีคิดที่ดี น้ำจะไหลมาทางไหนก็กั้นเอาทางนั้น แต่กุ่นประเมินพลังของน้ำต่ำไป พอน้ำหลากแรงเข้าทำนบจึงพัง และเพราะน้ำที่กักไว้ในปริมาณสูงกว่าเดิม
เมื่อไหลถาโถมลงที่ต่ำ บ้านเรือนไร่นาและชีวิตชาวบ้านจึงราบพณาสูรยิ่งกว่าสภาพธรรมชาติเดิม กุ่นจึงถูกกษัตริย์ซุ่นสั่งประหารในข้อหาทุจริตฮั้วผู้รับเหมา กินเปอร์เซ็นต์เหล็กเส้นที่ใช้ในการสร้างทำนบ... ข้อหาทุจริตอาจเป็นข้ออ้างแก้เขิน เพื่อสังเวยกุ่นให้กับสังคมที่โกรธแค้นในความไร้ประสิทธิภาพจัดการน้ำ หรือกุ่นอาจไม่ได้ตั้งใจทำงานจริงๆ ก็หารู้ไม่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ดูเหมือนทฤษฎีและเทคโนโลยีของกุ่นไม่เหมาะกับสภาพการณ์และยุคสมัย
ประหารกุ่นไปแล้วใช่ว่าปัญหาน้ำท่วมจะหมดไป กษัตริย์ซุ่นจึงยังมีภาระต้องเสาะหาคนทำงานใหม่ นั่นก็คือ "อวี่" ลูกชายของกุ่น...
ว่าไปแล้วกษัตริย์ซุ่นช่างกล้า สั่งประหารพ่อแล้วยังกล้าใช้ลูกทำหน้าที่เดียวกันแต่ดูเหมือนอวี่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร กลับตั้งใจคิดหาวิธีใหม่ในการแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยใช้ผลงานของพ่อเป็นบทเรียน
กุ่นใช้วิธีปิดกั้นทางน้ำไหล กลับสู้พลังน้ำไม่ได้ อวี่จึงตัดสินใจใช้ทฤษฎีขุดเส้นทางน้ำเพิ่มเติม ปลดปล่อยให้น้ำไหลลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดไม่ต้องแวะขังในบ้านชาวบ้านเพื่อรอการระบาย
กระบวนการนั่งคิดทฤษฎีนี้ดูเหมือนง่าย แต่กระบวนการลงมือและผลักดันนั้นต้องอาศัยความทุ่มเทอย่างสูง ว่ากันว่าเมื่ออวี่แต่งงานได้ 4 วันเขาก็ต้องออกไปทำเซอร์เวย์ เพื่อหาเส้นทางระบายน้ำตามทฤษฎีที่เขาคิด อวี่ออกจากบ้านวันนั้น ก็ไม่ได้เหยียบกลับเข้าบ้านอีกเลย 13 ปีเต็ม เป็น 13 ปีเต็มที่เขาใช้แก้ปัญหาน้ำหลาก เทียบเท่าระยะเวลาเป็นผู้ว่าฯ กทม. 3 สมัย กับอีก 1 ปี
นอกจากเพราะต้องเดินทางสำรวจดินแดนแสนไกลและกว้างใหญ่ โครงการนี้ยังต้องอาศัยแรงใจและเวลา ของอวี่อย่างเต็มที่ ใน 13 ปี อวี่มีโอกาสเดินทางผ่านบ้านตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังหาเวลาเข้าบ้านไม่ได้ แม้ภายในบ้านจะมีเสียงลูกของตนร้องไห้ดังออกมา อวี่ก็ตัดใจเดินผ่านบ้านไปเพื่อดูแลโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตและเวลาส่วนตัวการวางนโยบายแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของอวี่มิได้ทำอยู่แต่ในห้องแอร์ หรือแค่บนแผ่นกระดาษ (ประโยคนี้ยืนยันได้เพราะยุคนั้นยังไม่มีทั้งแอร์และกระดาษ) อวี่ต้องลงไปดูหน้างานกับตา ลงไปวางแนวทางน้ำ หรือกระทั่งลงไปร่วมขุดดินด้วยตัวเอง
อวี่ต้องลงพื้นที่เองก็คงเพราะตระหนักว่าพื้นแผ่นดินและทางน้ำเปลี่ยนแปลงได้ แผนที่ที่บอกเล่าต่อกันมาก็ผิดพลาดได้ ความตื้นลึกของทางน้ำ ความแรงเบาของกระแสน้ำเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องทดลองไปทำไป
ละเอียดอ่อนขนาดไหน ใครเคยแก้ปัญหาน้ำรั่วหรือน้ำท่วมเข้าบ้านย่อมรู้ดี น้ำหยดเล็กๆ จะไหลและซึมไปไหนก็ยากจะเดาและขวางกั้น แต่นี่คือมวลน้ำขนาดมหาศาลที่จะไหลหลีกหรือหยุดลงที่ไหนก็ไม่เคยสนหน้าอินทร์หน้าพรหม นอกเรื่องไปอีกหน่อยได้ว่าความอัศจรรย์ของน้ำยังมีอีกมาก เช่น คลองปานามาที่ขุดข้ามสองฝั่งทวีป เมื่อขุดจากสองฝั่งไปเจอกันกลับพบปัญหาว่าน้ำทะเลสองฝั่งมหาสมุทรสูงไม่เท่ากัน ปัญหาน้ำระดับมหัพภาคนั้นพิสดารได้ขนาดนี้ อวี่จึงออกไปดูด้วยตาเนื้อและสติปัญญาของตัวเองจะดีที่สุด
ขอบเขตงานของอวี่ไม่ใช่แค่สั่งคนไปลอกคลองข้างบ้าน อาณาบริเวณที่อวี่ตัดสินใจแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบครอบคลุมพื้นที่แทบทั้งลุ่มน้ำ สิ่งที่อวี่ต้องเผชิญย่อมไม่ใช่แค่น้ำ อวี่ยังอาจต้องปะทะและเจรจากับผู้คนที่ตั้งบ้านเรือนและเพาะปลูกอยู่ในแนวเส้นทางระบายน้ำที่อวี่วางแผนไว้อย่างแน่นอน
สภาพประชากรศาสตร์ในยุคนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชาวบ้านในพื้นที่ที่อวี่ทำงานย่อมหลากหลาย ทั้งหมดไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน และไม่ใช่ชนเผ่าเดียวกัน อวี่ต้องใช้ทักษะสัมพันธ์ระดับสูงเพียงไรลองคิดดู ขนาดชนชาติและภาษาเดียวกัน แค่คำถามว่า "ทำไมมาเวนคืนที่ข้า ไม่เวนคืนที่มัน" "ทำไมวางผังเมืองเราเป็น Flood way ไม่ไปวางไว้บ้านเอ็ง"... แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
อวี่คงไม่ได้พูดภาษาถิ่นได้ทุกภาษา แต่อวี่ใช้ความทุ่มเทของตนสื่อสารแทนคำพูด ว่ากันว่าขณะที่อวี่ร่วมแก้ไขทางน้ำ ตรากตรำทำงาน ผิวหยาบกร้าน และผ่ายผอม นอกจากงานใช้แรงงาน อวี่ยังมีส่วนร่วมในงานคิดค้นเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อช่วยทุ่นแรงขุด ลดภาระผู้ปฏิบัติงาน เพิ่มประสิทธิภาพโครงการ จิตใจที่ทุ่มเทแก้ปัญหาทุกวินาที ทำเอาอวี่แทบไม่มีเวลากิน
บางตำนานเล่าว่าอวี่ยุ่งมาก ไม่มีเวลารออาหารที่ปรุงใหม่ๆ หายร้อนค่อยหยิบจับเข้าปาก ตัดสินใจเอากิ่งไม้มาหนีบอาหารเข้าปาก กลายเป็นตำนานต้นกำเนิดตะเกียบ
พูดตามความจริง ปัญหาคงไม่ได้แก้ได้หมดเกลี้ยง (เพราะหลังจากอวี่ จีนก็ยังต้องเดือดร้อนจากพลังของฮวงเหอเรื่อยมา) แต่ก็น่าเชื่อว่าคงดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อนหน้านั้น หรือเป็นเพราะพื้นที่ทำกินของประชากรยุคนั้นยังเบาบางก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามชาวเมืองไม่ต้องกลัวน้ำท่วม เกษตรกรรมมีผลผลิตเพิ่มพูน อวี่ชนะใจผู้คนทั้งแผ่นดิน
อวี่ตระเวนทำงานหนัก นอกจากแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ ยังถือเป็นการโปรโมทความจริงจังและจริงใจไปในตัว ซุ่นตัดสินใจยกหน้าที่ผู้นำคนต่อไปให้กับอวี่ และผู้คนก็ยินดีเชิดชูเขา อวี่ จึงกลายเป็น อวี่ผู้ยิ่งใหญ่ (ต้าอวี่)
วัฒนธรรมใดที่ดำรงชีพด้วยเกษตรกรรม วัฒนธรรมนั้นย่อมยกย่องฮีโร่ที่จัดการน้ำได้ ต้าอวี่เป็นวีรบุรุษแห่งการจัดการน้ำยุคบุกเบิกของจีน ฮ้องเต่ทุกพระองค์ต่างถือเอาต้าอวี่เป็นแบบอย่าง
ชาวจีนมีต้าอวี่เป็นวีรบุรุษตัวจริง แม้เขามีชีวิตอยู่ห่างไกลจากยุคนี้ถึง 4,000 ปี จนดูเหมือนแทบเป็นแค่ตำนาน... แต่รายละเอียดการจัดการน้ำของอวี่กลับดูสมจริง ติดดิน และจับต้องได้ และฮีโร่แบบนี้ยังเป็นที่ต้องการและเป็นที่เชิดชูตลอดมา n


