posttoday

ตำรวจล่อซื้อค้ากามทำได้หรือ?

12 กุมภาพันธ์ 2558

เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผู้กำกับและ 5 เสือของสถานีตำรวจหลายท้องที่ถูกเด้ง ถูกย้ายเข้ากองบัญชาการ โดยเป็นการย้ายขาดจากตำแหน่งเดิม มีท่านผู้อ่านคอลัมน์ทนายคลายทุกข์สอบถามมายังผมหลายคนว่า “ตำรวจไปล่อซื้อผู้หญิงขายบริการ โดยปลอมตัวเป็นแขกขอใช้บริการทางเพศ และเมื่อร่วมประเวณีกับหญิงขายบริการแล้ว ก็ส่งมอบเงินให้เป็นค่าบริการ หลังจากนั้นก็จับกุมเขา ทำได้ไหม” ผมขออธิบายข้อกฎหมายให้ท่านผู้อ่านทราบเป็นรายประเด็น ดังนี้

เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผู้กำกับและ 5 เสือของสถานีตำรวจหลายท้องที่ถูกเด้ง ถูกย้ายเข้ากองบัญชาการ โดยเป็นการย้ายขาดจากตำแหน่งเดิม มีท่านผู้อ่านคอลัมน์ทนายคลายทุกข์สอบถามมายังผมหลายคนว่า “ตำรวจไปล่อซื้อผู้หญิงขายบริการ โดยปลอมตัวเป็นแขกขอใช้บริการทางเพศ และเมื่อร่วมประเวณีกับหญิงขายบริการแล้ว ก็ส่งมอบเงินให้เป็นค่าบริการ หลังจากนั้นก็จับกุมเขา ทำได้ไหม” ผมขออธิบายข้อกฎหมายให้ท่านผู้อ่านทราบเป็นรายประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก การล่อซื้อโดยวิธีดังกล่าว ถ้าสามารถสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานโดยวิธีอื่นได้ ก็ไม่ควรใช้วิธีการดังกล่าว แต่ถ้าไม่สามารถสืบสวนโดยวิธีการอื่นได้ มีความจำเป็นต้องใช้วิธีการล่อซื้อก็สามารถใช้วิธีการล่อซื้อได้

ประเด็นที่สอง การล่อซื้อโดยปลอมตัวเป็นแขกและร่วมประเวณีกับหญิงขายบริการ ถือเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดหรือไม่ ผิดกฎหมายหรือไม่ ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ การล่อซื้อดังกล่าวสามารถทำได้ เพราะถือเป็นการกระทำที่จำเป็นพอสมควรเพื่อหาทางที่จะพิสูจน์ความผิดของผู้กระทำความผิด สามารถทำได้ พยานหลักฐานที่ได้มาก็สามารถนำมาพิสูจน์ความผิดจำเลยได้ ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการล่อซื้อโดยวิธีการดังกล่าวมาแล้ว ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาข้างล่างนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2518

พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 4

การที่ สิบตำรวจโท ว. ขอร่วมประเวณีกับจำเลยเพื่อพิสูจน์คำร้องเรียนว่ามีการค้าประเวณีในสถานที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ ตามคำสั่งพนักงานสอบสวนแล้วจำเลยยอมร่วมประเวณีและรับเงินจากสิบตำรวจโท ว. นั้นไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบแต่อย่างใด

แม้จำเลยจะได้รับใบอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบ นวด ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณี โดยจัดให้มีหญิงบริการทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้วสถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีด้วย

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับใบอนุญาตให้ตั้งสถานบริการอาบน้ำ นวด อบตัว บังอาจเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล ผู้จัดการสถานการค้าประเวณีสถานบริการดังกล่าว และเปิดสถานบริการก่อนเวลาที่ทางราชการกำหนด กับได้ยินยอมให้ผู้อื่นทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระในสถานบริการนั้น จำเลยที่ 2 บังอาจค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณีสถานบริการดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 3(3), 17, 24, 27 กฎกระทรวง พ.ศ. 2509 ออกตามความในพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 ข้อ 6 พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ สลร.1/2517 เรื่องการใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 2 ม.ค. 2517 พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 6, 9, 10

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9, 10 ให้ลงโทษตามมาตรา 9 อันเป็นบทหนัก ปรับ 1,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 6 ให้ปรับ 600 บาท ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย 2 ประการ คือ (1) การที่พนักงานสอบสวนสั่งการให้ ส.ต.ท.วิรัช เข้าไปขอรับบริการอาบอบ นวด จากจำเลยที่ 2 แล้วร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 2 และให้เงินแก่จำเลยที่ 2 นั้น เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ จะอ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดมิได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และ (2) สถานที่ ของจำเลยเป็นสถานที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการอาบ อบ นวด ส.ต.ท.วิรัช ได้เข้าไปอาบนวดด้วยจึงยังไม่เป็นสถานการค้าประเวณีดังที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อ ส.ต.ท.วิรัช ขอร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 2 เพื่อพิสูจน์คำร้องเรียนว่ามีการค้าประเวณีในสถานที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ตามคำสั่งพนักงานสอบสวนแล้วจำเลยที่ 2 ยอมร่วมประเวณีและรับเงินจาก ส.ต.ท.วิรัช ดังที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้นไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ และวินิจฉัยต่อไปว่า แม้จำเลยที่ 1 จะได้รับใบอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบ นวด ก็ตามแต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณี โดยจัดให้มีหญิงบริการเช่นจำเลยที่ 2 ทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้ว สถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 4 ด้วย

พิพากษายืน

การค้าประเวณีแอบแฝงไม่สามารถมีอยู่ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้อยู่เบื้องหลัง

ข่าวล่าสุด

กนง. เปิดเกมผ่อนคลายเต็มรูปแบบ ดอกเบี้ยขาลงรับเศรษฐกิจแผ่ว จับตาลดอีกเหลือ 1.0% ต้นปี 2569