ปุณยวีร์ จันทรขจร พลิกฟื้นพอร์ตจากตลาดญี่ปุ่น
“ปุณยวีร์ จันทรขจร” หรือ “เป๊ก” หนุ่มอายุ 31 ปี ชอบลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะสามารถพลิกฟื้นการลงทุนและทำให้มีอิสรภาพทางการเงินครั้งแรก และถ่ายทอดเป็นหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก “โตเกียวเที่ยวนี้รวย”
“ปุณยวีร์ จันทรขจร” หรือ “เป๊ก” หนุ่มอายุ 31 ปี ชอบลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะสามารถพลิกฟื้นการลงทุนและทำให้มีอิสรภาพทางการเงินครั้งแรก และถ่ายทอดเป็นหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก “โตเกียวเที่ยวนี้รวย”
ทว่า จุดเริ่มต้นไม่ได้สวยหรูตั้งแต่แรก เพราะก้าวแรกการลงทุนเขานำเงินที่ได้จากการทำงานพิเศษตั้งแต่เรียนปริญญาตรีจนถึงมนุษย์เงินเดือนทำงานทั้งหมด 5 แสนบาท แบ่งมา 2 แสนบาท ซื้อกองทุนหุ้นรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ครั้งแรกได้ผลตอบแทนประมาณ 30-40% เมื่อเห็นว่าได้กำไรจึงตัดสินใจนำส่วนที่เหลือ 3 แสนบาท ซื้อหุ้นตามคำบอกเล่าจากเว็บไซต์พันทิป
หุ้น 3 ตัวแรกที่เข้าไปคือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และบริษัท บ้านปู (BANPU) โชคช่วยเพราะก่อนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หุ้นยังไปได้ดี จึงตัดสินใจขายหุ้น 2 ตัว และเงินจากกองทุนรวมทั้งหมดไปเข้าซื้อ BANPU เพิ่มโดยไม่ได้รู้วงจรถ่านหิน
จนกระทั่งไปติดดอยที่ 800 บาท จากเงินต้นและส่วนต่างกำไรที่ได้มา 56 แสนบาท มูลค่าพอร์ตมันลดเหลือ 1.5 แสนบาทเท่านั้น
ต่อมาคิดได้ว่าต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุนและมองเรื่องการลงทุนใหม่ และบอกกับตัวเองว่าต้องกลายเป็นคนหนึ่งที่มีตัวตนในการลงทุนหุ้นได้
ประจวบเหมาะกับการจบปริญญาตรีภาควิชาญี่ปุ่น คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการลงทุน มหาวิทยาลัย Tsukuba ที่ญี่ปุ่น
เขาเก็บเงินจากทำงานเสริมพร้อมศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นสักพักก็เปิดพอร์ต เลือกลงหุ้นที่เขาคุ้นเคย เป็นสิ่งที่ได้ใช้ เช่น บริษัท โตโยต้า บริษัทเดินรถไฟ JR ดิสนีย์แลนด์ สายการบิน แต่พอปี 2554 เจอสึนามิที่ญี่ปุ่นขนาดพอร์ตลงทุนเขาที่มี 2.3 ล้านบาท ดัชนีดิ่งแรงเขาจึงขายตัดขาดทุนเมื่อพอร์ตติดลบไปแล้ว 10% ทำให้เงินหายไป 2-3 แสนบาททันที
ปี 2555 ชินโสะ อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรี และแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะต้องฟื้นเศรษฐกิจให้ได้
พอร์ตการลงทุนเขาแบ่งเป็น พอร์ตหุ้นญี่ปุ่น 10-12 ล้านบาท ที่ถือว่าเป็นหุ้นถือไว้ยาว เพราะเชื่อว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ญี่ปุ่นหลุดจากภาวะเงินฝืดที่อยู่มานานกว่า 20 ปีให้ได้ แม้อัตราเงินปันผลหุ้นญี่ปุ่นเฉลี่ย 1-2% มีบางตัวที่ 3% จะน้อยกว่าไทย แต่ก็เลือกถือไว้เพราะส่วนใหญ่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ญี่ปุ่นมีความหลากหลายในธุรกิจ เป็นหนี้น้อยและมีกระแสเงินสดที่สูงมาก
ปัจจุบัน เขาถือหุ้นญี่ปุ่น 5 ตัว ทุกตัวเขาต้องรู้จักหรือมีความคุ้นเคยกับหุ้นนั้น คือ หุ้นรถไฟ JR หุ้นดิสนีย์แลนด์ หุ้นบริษัทมือถือ Softbank ที่เคยเป็นอันดับ 3 และก้าวมาสู่อันดับ 1 หุ้นบริษัทเกม Gunto ที่มีแอพพลิเคชั่นบนมือถือ และหุ้นยูนิโคลที่เคยเข้าทำงานด้วย พอร์ตในไทยมีอยู่ประมาณ 4 ล้านบาท แบ่งเป็น 1 ล้านบาท สำหรับเล่นหุ้นตามกระแสตัวเล็ก โดยพอร์ตนี้จะใช้ทำให้ไปถึงเป้าหมาย ซึ่งทั้งสองพอร์ตนี้จะตั้งเป้าหมายราคาหุ้นแต่ละตัวเป็นหลัก และพอร์ตที่เหลืออีก 1 ล้านบาท เป็นบัญชีการออมหุ้นที่จะไม่ยุ่งกับพอร์ตนี้ เน้นฝากโบรกเกอร์เปลี่ยนหุ้นที่จะออมว่าควรเปลี่ยนออมหุ้นตัวนั้น หรือสะสมเพิ่มในช่วงเวลาใด แต่จะไม่เป็นคนถือรหัสการเปลี่ยนหุ้นเอง
เงินลงทุนทั้งหมดนี้ก็คือเงินลงทุน เขาจะไม่ยุ่งกับเงินส่วนนี้ ยกเว้นพอร์ตระยะสั้นที่อาจจะทำเพื่อเป้าหมายให้รางวัลกับชีวิต ส่วนเงินเดือนหรือค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้จะเกิดจากการหารายได้จากการทำงาน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการที่เขาขวนขวายรับงานต่างๆ เอง ทั้งวิทยากร พิธีกร ผู้แปลภาษาญี่ปุ่นและมุมมองเรื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่นไปด้วย เพราะถึงวันนี้เขาเชื่อว่าหากพูดถึงภาษาญี่ปุ่นและการลงทุนหรือเรื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่น อย่างน้อยต้องนึกถึงผู้ชายคนนี้อยู่บ้าง?


