ไวน์นำเข้าสะดุดแอมโบรสโหมกิจกรรมกู้ยอด
นอกจากจะได้รับผลกระทบในด้านของการเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่พุ่งสูงปรี๊ดแล้ว
โดย...จะเรียม สำรวจ
นอกจากจะได้รับผลกระทบในด้านของการเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่พุ่งสูงปรี๊ดแล้ว ธุรกิจไวน์นำเข้ายังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ และการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2556 ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจไวน์นำเข้าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาเติบโตในอัตราชะลอตัว จากปกติเติบโตปีละ 10%
ขณะเดียวกันยังส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายต้องปรับราคาไวน์ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะไม่ส่งผลดีกับธุรกิจมากนัก เพราะการปรับราคาสินค้าขึ้นตอนนี้ย่อมได้รับการต่อต้านจากผู้บริโภคที่กำลังรัดเข็มขัดอยู่ในขณะนี้
ภัทราพร เตชะไพบูลย์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท แอมโบรส ไวน์ ผู้จัดจำหน่ายไวน์ชื่อดังจากต่างประเทศ กล่าวว่า จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมารัดเข็มขัดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการซื้อไวน์ราคาแพงมาซื้อไวน์ที่ราคาถูกลงมากขึ้น โดยเฉพาะไวน์ราคาต่ำกว่า 400 บาท ส่งผลให้ไวน์ระดับล่างได้รับความสนใจมากขึ้น
แต่สำหรับผู้บริโภคที่ดื่มไวน์ประจำอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวแค่ช่วงเวลาระยะสั้นๆ เนื่องจากรสชาติไวน์ราคาต่ำกว่า 400 บาท จะมีความแตกต่างจากไวน์ที่มีราคา 400-800 บาทขึ้นไป หากผู้บริโภคติดในรสชาติไวน์ระดับราคา 400-800 บาท ในท้ายที่สุดก็จะกลับมาบริโภคในระดับราคาดังกล่าว จากแนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภคหลักที่นิยมดื่มไวน์ราคาต่ำกว่า 400 บาท ยังคงเป็นกลุ่มที่เริ่มหัดดื่มไวน์
จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท แอมโบรส ไวน์ ต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการวางราคาจำหน่ายไวน์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งการลดราคาเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มเป้าหมายและการปรับราคาไวน์เพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราการเก็บภาษีนำเข้าที่ต้องเสียประมาณ 169 บาท/ขนาดขวด 175 มล. ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำกว่า 15%
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนจะหันมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้นทั้งในรูปแบบของการทำไวน์ดินเนอร์และไวน์เทสติ้ง ร่วมกับโรงแรมระดับ 5 ดาว และร้านอาหารชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองชิมสินค้าและเกิดการซื้อ ซึ่งจะเน้นเพิ่มความถี่มากขึ้นจากปกติจะจัดปีละ 10-12 ครั้ง/ปี เป็นเดือนละ 12 ครั้ง/ปี
“ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวไวน์นำเข้าจากบารอน ฟิลิปส์ เดอ รอสชิลด์ ประเทศชิลี ภายใต้ชื่อ เอสคูโด โรโจ (Escudo Rojo) ไวน์ 4 ชนิดจากองุ่นพันธุ์ ชาร์ดอนเนย์ โซวินญอง บลอง ซีราห์ และคาเบอร์เยน์ โซวินญอง เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ไวน์ระดับพรีเมียม
ช่องทางจำหน่ายหลักที่บริษัท แอมโบรส ไวน์ จะเน้นทำตลาดไวน์ เอสคูโด โรโจ ยังคงเน้นไปที่โรงแรมและร้านอาหารชั้นนำ ซึ่งหลังจากเปิดตัวไวน์ดังกล่าวเข้าทำตลาดคาดว่าสิ้นปีจะมียอดขายไวน์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 3,000 ลัง ขณะที่ภาพรวมยอดขายไวน์ทั้งบริษัทในสิ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1 แสนลัง หรือมีรายได้ 500 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 15%
ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา รายได้ของแอมโบรส ไวน์ มีอัตราการเติบโตไม่ถึง 10% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ที่ 15% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากผู้บริโภคชาวไทยชะลอกำลังซื้อ ขณะที่กลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวก็มีอัตราลดลด เพราะขาดความมั่นใจในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ภัทราพร กล่าวอีกว่า หลังจากสถานการณ์เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมตลาดไวน์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น และส่งผลให้บริษัทมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ แบ่งเป็นยอดขายไวน์ระดับกลางราคา 400-800 บาท 90% ที่เหลืออีก 10% เป็นสัดส่วนรายได้จากยอดขายไวน์ระดับล่างราคาต่ำกว่า 400 บาท และไวน์ระดับบน ราคาสูงกว่า 800 บาท
ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการบริโภคไวน์อยู่ที่ประมาณ 0.3 ขวด/ปี เป็นอันดับ 7 ของภูมิภาคเอเชีย โดยอันดับ 1 เป็นของประเทศญี่ปุ่น ตามด้วยจีน เกาหลี ฮ่องกง เวียดนาม ไต้หวัน สิงคโปร์ และไทย
ขณะที่หากมองเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยมีอัตราการบริโภคไวน์เป็นอันดับ 3 โดยอันดับ 1 เป็นของเวียดนาม อันดับ 2 เป็นของสิงคโปร์
แม้ว่าจะมีปัจจัยลบส่งผลกระทบให้ธุรกิจไวน์นำเข้าชะลอตัวไปบ้าง แต่จากผู้เล่นหน้าใหม่ที่ทยอยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแข่งขันของธุรกิจไวน์ยังคงมีความรุนแรงโดยเฉพาะในด้านของราคาขายที่ผู้เล่นหน้าใหม่มักชูเป็นจุดขาย เพื่อดึงความสนใจจากผู้บริโภค
การแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการไวน์นำเข้าต้องหันมาปรับกลยุทธ์ในด้านของราคา คุณภาพ แบรนด์ (ตราสินค้า) รสชาติ และบริการให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น


