posttoday

กทค.มั่นใจหลุดคดีฟ้องออกประกาศคุมซิมดับ

08 พฤศจิกายน 2556

กทค. มั่นใจหลุดคดีฟ้องร้องออกร่างป้องกันซิมดับ 3 แสนล้านบาท ชี้อุดภาวะสุญญากาศ คุ้มครองผู้ใช้บริการ 17 ล้านราย

กทค. มั่นใจหลุดคดีฟ้องร้องออกร่างป้องกันซิมดับ 3 แสนล้านบาท ชี้อุดภาวะสุญญากาศ คุ้มครองผู้ใช้บริการ 17 ล้านราย

นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เปิดเผยว่า มั่นใจในคำชี้แจงต่อศาลปกครองกลาง กรณีที่กทค. และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถูกบริษัท กสท โทรคมนาคม ยื่นฟ้องและขอคุ้มครองฉุกเฉิน เรียกค่าเสียหาย และขอยกเลิกเพิกถอนมติกสทช.ที่ออกประกาศ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการกรณีสิ้นสุดสัมปทาน หรือสัญญาให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ 2556  ซึ่งได้ประมาณการณ์ว่าจะทำให้กสทฯ เสียหายสูงถึง 2.75 แสน ล้านบาท

ทั้งนี้ กทค. ได้ชี้แจงว่า  กสทฯ ไม่มีสิทธิ์ในคลื่นความถี่ดังกล่าวตั้งแต่สัมปทานกับ บริษัท ทรูมูฟ และ ดิจิตอลโฟน (ดีพีซี) สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา และหาก กทค. ไม่ออกประกาศคุ้มครองผู้ใช้บริการฯ ดังกล่าว จะทำให้เกิดภาวะสุญญากาศและไม่มีผู้รับผิดชอบผู้ใช้บริการกว่า 17 ล้านราย ดังนั้น การที่ กทค. ออกร่างประกาศฉบับนี้ ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และ ไม่ได้ทำให้กสทฯ เสียหายแต่อย่างใด

“การที่ กสทฯ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย และต้องเสียเงินค่าธรรมเนียม 1% ของวงเงินหรือ เกือบ 300 ล้านบาทนั้นเป็นการเรียกร้องที่สูญเปล่า เพราะกสทฯ ไม่สามารถอ้างสิทธิ์ในคลื่นความถี่ได้อีกต่อไปซึ่งเงินดังกล่าวก็เป็นเงินของประชาชนเช่นกัน” นายสุทธิพลกล่าว

นอกจากนี้ ตาม พ.ร.บ. กสทช. พ.ศ.2553 กำหนดให้ทั้งกสทฯ และ ทีโอที ต้องนำส่งรายได้จากสัมปทานให้กับแผ่นดินตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไปอยู่แล้ว  ดังนั้น แม้จะมีสัมปทานหรือไม่มีสัมปทานก็ตาม กสทฯ ก็ไม่มีสิทธิ์ในรายได้จากสัมปทานนั้นอีกต่อไป การฟ้องกรณีดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักมากพอ

สำหรับคดีดังกล่าว กสทฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อกลางเดือน ต.ค. ขอคุ้มครองฉุกเฉิน โดยมูลค่าความเสียหาย 2.75 แสนล้านบาทคำนวนจากการนำอัตรารายได้เฉลี่นต่อเลขหมายต่อเดือน (Arpu) ของกสทฯ ซึ่งมีอัตราขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 200-300 บาทต่อเดือน คูณด้วยจำนวนผู้ใช้บริการทั้ง 17 ล้านเลขหมาย และคิดรวมไปกับรายได้ไปจนถึงการสิ้นสุดใบอนุญาตของกสทในปี 2568 หรือประมาณ 12ปี ที่สามารถให้บริการ 3 จี ภายใต้แบรนด์ “มาย” ของ กสทฯ เอง

รวมทั้งประกาศดังกล่าวยังขัดต่อกฏหมายอยู่ 3 ประเด็น คือ 1.กำหนดให้เจ้าของสัมปทานคือ กสทฯ และผู้รับสัมปทานคือ ทรูมูฟ และดีพีซี เป็นผู้ให้บริการต่อไปในช่วงประกาศดังกล่าว  ทั้งที่ผู้รับสัมปทานมีข้อจำกัดของกฏหมายในการให้บริการตามมาตรา80 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยสรุปสิทธิการบริหารจัดการของผู้รับสัมปทานต้องหมดลงตั้งแต่ในวันที่ 15  ก.ย. 2556

2.ประเด็นการใช้คลื่นความถี่ที่จะไม่ขัดต่อมาตรา 46 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยระบุว่าผู้รับสัมปทานสามารถบริหารคลื่นความถี่ได้เฉพาะในช่วงที่อยู่ในสัมปทานเท่านั้น ดังนั้น การใช้คลื่นความถี่ภายหลังหมดสัญญาสัมปทานผู้รับสัมปทานคือทรูมูฟ และดีพีซี จึงไม่มีสิทธิในการนำคลื่นดังกล่าวมาบริหารจัดการแต่อย่างใด และกสทฯมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว เพราะเป็นผู้รับใบอนุญาต

3.กรณีประกาศดังกล่าวมีการเร่งรัดให้โอนย้ายลูกค้าออกจากระบบนั้น ถือเป็นการทำให้กสทฯ เป็นผู้เสียหายโดยตรง เนื่องจากลูกค้าทั้งหมดภายใต้สัญญาสัมปทานราว 17 ล้านเลขหมายจะต้องย้ายมาอยู่ในระบบมาย ของ กสทฯ แทน และยังไม่เป็นไปตามประกาศบริการคงสิทธิเลขหมาย (นัมเบอร์พอร์ทิบิลิตี้) ที่ระบุให้มีการโอนย้ายแบบยินยอมสมัครใจเท่านั้น จึงส่งผลทำให้ลูกค้าของกสทฯ ที่ควรจะมีราว 17 ล้านรายย้ายออกจากระบบทั้งหมด

ข่าวล่าสุด

"ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์"จากนักวิชาการสู่แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย