โมเดลเศรษฐกิจใหม่จีน ทุบหม้อข้าวแรงงานเอเชีย ดับอนาคต Gen Z
วิกฤตสินค้าจีนทะลักทุบโรงงานไทย-อาเซียน! อนาคต Gen Z แขวนบนเส้นด้าย ค่าครองชีพพุ่งสูง หางานยากขึ้น การแข่งขันสูงจนล้นตลาด
KEY
POINTS
- เอเชียกำลังถูกกดดันจาก "สงครามการค้า" ของสหรัฐฯ และคลื่น สินค้าจีนทะลัก เข้ามาตีตลาด ทำลายฐานการผลิตท้องถิ่น
- โรงงานในอาเซียนทยอยปิดตัว โดยเฉพาะสิ่งทอและ SME ส่งผลให้ตำแหน่งงานลดฮวบ ตัดโอกาสคนรุ่นใหม่ (Gen-Z) ในการก่อร่างสร้างตัว
- ปัญหาปากท้องจากการว่างงานกำลังจุดชนวนความโกรธแค้นต่อรัฐบาล นำไปสู่การประท้วงและความไม่มั่นคงในภูมิภาค
เอเชีย ภูมิภาคที่ขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช่วยยกระดับชีวิตผู้คนนับล้าน แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หลายประเทศต้องรับมือกับ "วิกฤตซ้อนวิกฤต"
ด้านหนึ่งคือแรงกดดันจากฐานการผลิตที่ถูกคุกคามจาก สินค้าจีนทะลัก เข้ามาด้วยราคาที่ถูกแสนถูก และอีกด้านคือผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สถานการณ์นี้สร้างความคับข้องใจให้กับคนรุ่นใหม่ (Gen Z) ที่ต้องดิ้นรนกับค่าแรงขั้นต่ำและค่าครองชีพที่พุ่งสูง คนรุ่นใหม่ต้องตื่นมาพบความจริงที่ว่า
งานในภาคการผลิตที่เคยสร้างความมั่งคั่งให้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่หายากขึ้น ในขณะที่ตำแหน่งพนักงานออฟฟิศสำหรับเด็กจบปริญญาก็มีการแข่งขันสูงจนล้นตลาด
จีนทุ่มสุดตัวภาคการผลิต ดันยอดเกินดุลทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์
ท่ามกลางวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และการบริโภคภายในประเทศที่ซบเซา รัฐบาลจีนตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
ผลลัพธ์คือยอดเกินดุลการค้าต่อปีที่พุ่งทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะลดลงก็ตาม
สินค้าส่วนเกินเหล่านี้จึงถูกระบายออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความตึงเครียดไปทั่วโลก ถึงขนาดที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ออกโรงเตือนว่า สหภาพยุโรปอาจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด หากปักกิ่งไม่แก้ไขความไม่สมดุลทางการค้านี้
อาเซียนรับจบ เมื่อ SME สู้ทุนใหญ่ไม่ไหว
กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ (Global South) กลายเป็นด่านหน้าที่ต้องรับผลกระทบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องตกที่นั่งลำบาก เมื่อตลาดสินค้าราคาถูกในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับกำลังการผลิตมหาศาลของจีนได้ แม้จะมีการออกมาตรการจำกัดการนำเข้า แต่ก็แทบไม่ช่วยชะลอสินค้าจีนทะลัก
ความเสียหายพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อแรงงานคนรุ่นใหม่
- อินโดนีเซีย: รายงานจากสถาบัน Lowy ระบุว่าตั้งแต่ปี 2022 มีโรงงานสิ่งทอปิดตัวไปแล้วราว 60 แห่ง สูญเสียงานกว่า 2.5 แสนตำแหน่ง และสมาคมผู้ผลิตเส้นใยฯ คาดการณ์ว่าปี 2025 อาจมีคนเสี่ยง ตกงาน อีกกว่า 5 แสนคน หรือหายไปถึง 1 ใน 4 ของภาคอุตสาหกรรม
- ไทย: สถานการณ์ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ปีที่ผ่านมาไทยมียอด โรงงานปิดตัว ราว 2,000 แห่ง โดยเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าสินค้าจีนราคาถูกที่ล้นทะลักเข้าไทย เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้โรงงานต้องปิดตัวลง ซึ่งบ่อนทำลายตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น (Entry-level) ที่เคยเป็นประตูสู่การก่อร่างสร้างตัวของเด็กไทย
จับตา "China Shock 2.0"
คณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐฯ-จีน (USCC) เตือนว่า ปัญหากำลังการผลิตล้นตลาดของจีนไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่เสื้อผ้าหรือของเล่นเท่านั้น แต่กำลังขยายวงกว้างสู่อุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่ และหุ่นยนต์ โดยมีภาครัฐหนุนหลังอย่างเต็มสูบ
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง David Autor และ Gordon Hanson เรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า "China Shock 2.0" ซึ่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรงกว่ายุคแรก (ช่วงปี 1999-2007) ที่เคยทำให้ภาคการผลิตของสหรัฐฯ พังทลายและสูญเสียตำแหน่งงานเกือบ 1 ใน 4
พิษเศรษฐกิจจุดชนวนการเมือง
ผลกระทบจาก วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้จีนเริ่มแปรเปลี่ยนความกดดันให้เป็นความโกรธแค้นทางการเมือง ในหลายพื้นที่ของเอเชีย คนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มหมดศรัทธาในผู้นำประเทศและกลุ่มชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ โดยมองว่ารัฐบาลไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้
เราได้เห็นคลื่นแห่งความโกรธเกรี้ยวผ่านการประท้วงในอินโดนีเซีย ติมอร์-เลสเต และฟิลิปปินส์
คนรุ่นใหม่ที่เบื่อหน่ายกับปัญหาคอร์รัปชันและการ ว่างงาน ได้ออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนักการเมือง เช่นเดียวกับในเนปาล ที่พลังคนรุ่นใหม่กดดันจนรัฐบาลต้องพ้นจากอำนาจเมื่อเดือนกันยายน
จีนเองก็ตระหนักถึงปัญหานี้และไม่อยากทำลายเสถียรภาพของเพื่อนบ้าน ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากกำแพงภาษีของทรัมป์ จีนพยายามเรียกร้องให้มีการประสานงานทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเร่งหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่
แม้จะมีแสงสว่างอยู่บ้างจากการที่ยอดส่งออกของไทยและเวียดนามไปสหรัฐฯ เติบโตขึ้น (ราว 23% ในเดือนกันยายน) เนื่องจากการย้ายฐานการผลิตหนีความขัดแย้ง แต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้การันตีความมั่นคงในอาชีพให้คนรุ่นใหม่เสมอไป
การแก้ปัญหาด้วยการบล็อก สินค้าจีนทะลัก เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ผล เพราะสินค้าเหล่านี้ฝังรากลึกในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของภูมิภาคแล้ว
ทางออกที่ยั่งยืนคือ ภาครัฐต้องช่วยผู้ประกอบการหาตลาดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างเครือข่ายป้องกันทางการค้าระดับภูมิภาค แทนที่จะสู้เพียงลำพัง รวมถึงต้องขยายโครงการฝึกทักษะใหม่ให้แรงงาน
หากปราศจากนโยบายที่รับประกันว่า Gen Z จะได้รับประโยชน์จากการค้าเสรี ความคับข้องใจทางเศรษฐกิจอาจลุกลามเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่ยากจะควบคุม
อ้างอิง: Bloomberg


