posttoday

กองทัพภาคที่2 สรุปแนวรบ ไทยยึดคืนเนิน 677–500 คุมพื้นที่สำคัญ

16 ธันวาคม 2568

กองทัพภาคที่ 2 เผยกัมพูชาเปิดฉากยิงตั้งแต่เช้ามืด 15 ธ.ค. ก่อนทหารไทยรุกยึดคืนเนิน 677–500 ช่องอานม้า เสริมความมั่นคงหลายแนวรบชายแดน

KEY

POINTS

  • กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่าฝ่ายไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ คือ เนิน 677 และเนิน 500 บริเวณช่องอานม้าได้สำเร็จ
  • การสู้รบเกิดขึ้นรุนแรงในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะที่ศรีสะเกษและสุรินทร์ ซึ่งฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธหนักและเครื่องบินรบ F-16
  • ภาพรวมสถานการณ์ ฝ่ายไทยสามารถควบคุมพื้นที่เป้าหมายหลักได้หลายจุด และลดขีดความสามารถในการสั่งการของฝ่ายตรงข้าม

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2568 กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธยิงเข้าพื้นที่ฝ่ายไทยตั้งแต่เวลา 02.13 น. ต่อเนื่องจนถึง 22.00 น. ของวันที่ 15 ธ.ค.

ผลการปฏิบัติการสำคัญ ทหารกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 17 สามารถเข้ายึดคืนพื้นที่ยุทธศาสตร์บริเวณเนิน 677 และเนิน 500 ในพื้นที่ช่องอานม้าได้สำเร็จ พร้อมชักธงชาติไทยแสดงการควบคุมพื้นที่ และใช้โดรนติดธงบินเหนือพื้นที่เพื่อเชิดชูเกียรติผู้เสียสละ

ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดอุบลราชธานี แนวรบช่องบกสถานการณ์โดยรวมยังปกติ พบเพียงการใช้โดรนลาดตระเวน ขณะที่ช่องอานม้าเป็นจุดปะทะเข้มข้น มีการใช้อาวุธปืนเล็ก ปืนใหญ่ และอาวุธต่อสู้รถถัง โดยฝ่ายไทยสามารถควบคุมที่หมายและเสริมกำลังได้ตามแผน

ด้านชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ มีรายงานการใช้จรวดหลายลำกล้องและปืนใหญ่จากฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยการทำลายเป้าหมายทางทหาร โครงสร้างสื่อสาร และใช้เครื่องบิน F-16 สนับสนุนการรบ ส่งผลให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายอย่างหนัก

 

ส่วนชายแดนจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ยังมีการปะทะเป็นระยะ โดยเฉพาะพื้นที่ตาควายและช่องยุทธศาสตร์สำคัญ ฝ่ายไทยใช้ยุทธวิธีรุกเชิงระบบ ควบคู่การยิงสนับสนุนและการใช้โดรน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังคงพึ่งพาจรวด BM-21 และโดรน FPV

กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ภาพรวมฝ่ายไทยสามารถควบคุมพื้นที่เป้าหมายหลักได้หลายจุด ลดขีดความสามารถในการสั่งการของฝ่ายตรงข้าม ขวัญกำลังพลอยู่ในเกณฑ์ดี แม้สถานการณ์บางพื้นที่เริ่มคลี่คลาย แต่ยังต้องเฝ้าระวังการโจมตีทางอากาศและการยิงระยะไกลอย่างใกล้ชิด

ที่มา : กองทัพภาคที่2 (เพจเฟซบุ๊ก)

ข่าวล่าสุด

‘จีโนมิกส์ ไทยแลนด์’ เดิมพันอนาคตวงการแพทย์ไทย โครงการชื่อยากที่คนไทยได้ใช้แน่!