ลองขับ “ซูซูกิ สวิฟท์” เกียร์ธรรมดา
ความสนุกที่ลงตัว...ยิ่งขึ้น
ลองขับ รถยนต์อีโคคาร์ ที่ว่ากันว่า hot ที่สุดในตลาดรถยนต์เมืองไทย แต่ครั้งนี้ เป็นการขับในรุ่นเกียร์ธรรมดา ที่หลายคนอาจมองว่า "ไม่มีใครซื้อ" แต่หากได้มาสัมผัสจริงๆ จะรู้ว่า อีโคคาร์ ที่ขับสนุกได้ เป็นอย่างไร
โดย ... พลพัต สาเลยยกานนท์
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรมากสำหรับเจ้ารถอีโคคาร์ ที่เรียกได้ว่าตอนนี้ติดกระแสลมบนขึ้นไปครองใจใครหลายๆคนกันทั่วบ้านทั่วเมืองกันแล้วสำหรับ “ออล นิว ซูซูกิ สวิฟท์” All New Suzuki Swift เครื่องยนต์ 1.25 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ CVT ที่นับตั้งแต่ที่ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้เปิดตัวออกสู่ตลาดก็เรียกได้ว่ายอดจอง-ยอดขายถล่มทลายถึงขนาดที่ต้องรอคิวรับรถกันข้ามปีเลยทีเดียว
ถึงวันนี้ ได้เวลาปล่อยของแล้ว นั้นคือ “นิว ซูซูกิ สวิฟท์” New Suzuki Swift รุ่นเกียร์ธรรมดา" ที่ขอมาเสริมไลน์สินค้าให้กับบรรดาลูกค้าที่ชื่นชอบการขับในแบบเกียร์ธรรมดากันบ้าง โดยโพสต์ทูเดย์ ก็ขอพาท่านผู้อ่านไปดูผลการลองขับให้ทราบกันอย่างเต็มที่
พื้นฐานของเจ้าอีโคคาร์เกียร์ธรรมดาคันนี้ ภายนอกไม่แตกต่างอะไรจากรุ่นเกียร์อัตโนมัติคันเก่ง เพราะทางซูซูกิ นำรถในรุ่น GA (รุ่นล่างสุด) และ GL (รุ่นกลาง) มาปรับเปลี่ยนใส่เกียร์ธรรมดาให้ผู้ที่ชื่นชอบการควบคุม และสั่งได้อย่างที่ใจคิดได้สัมผัส ใน 2 รุ่นดังกล่าวที่เปิดราคามาอยู่ที่ 4.29 – 4.67 แสนตามลำดับ พร้อมกับสีให้เลือกทั้งหมด 7 สี
ซึ่งรุ่นที่ผมนำพามาลองขับนั้นเป็นรุ่น GL และก็อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าภายนอกและภายในไม่แตกต่าง ดังนั้นจะขอลงรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งบอกได้ว่ายังไงก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ที่ดูเรียบง่ายและสะดวกสบายต่อการใช้งาน ด้วยภายในเลือกใช้สีดำตัดกับสีเงิน ส่วนเบาะนั้นเป็นเบาะผ้าแต่เป็นเบาะผ้าที่มีคุณภาพดี ส่วนอื่นๆภายในใช้วัสดุค่อนข้างโอเค รวมถึงระบบความปลอดภัยเพียบพร้อมจัดเต็ม
ภายในของรุ่น GL มีเครื่องเสียง 2 DIN ติดมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอยู่แล้ว กระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้า แต่ถ้าเป็นรุ่น GA แน่นอนว่า ต้องไปหาเครื่องเสียงติดกันได้ตามใจชอบครับ
ส่วนภายนอกคงไม่ต้องพูดถึงว่าโดนตาโดนใจกับใครหลายๆคนจนกระทั่งมียอดค้างส่ง (แบ็คออเดอร์) ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.7 หมื่นคันขนาดนี้ คงเป็นตัวเลขการันตีการออกแบบดีไซน์ได้เป็นอย่างดี
กระโดดขึ้นนั่งในตำแหน่งคนขับพร้อมจัดเบาะที่นั่งให้อยู่ตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนออกเดินทาง พลางๆสังเกตตำแหน่งการวาง แป้นคลัทช์ ของเจ้าอีโคคาร์คันนี้ ที่ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างจะชอบเพราะความห่างระหว่างแป้นคลัทช์และแป้นเบรค ไม่ใกล้กันจนมากเกินไป พอที่จะให้ขาซ้ายวางพิงได้กับคอลโซลหน้าด้านล่างฝั่งคนขับได้
เห็นอย่างนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะต้องเหยียบคลัทช์ พร้อมกดปุ่ม Push Start เริ่มต้นการเดินทางไปกับ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.25 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ที่ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 118 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันไอดีและไอเสีย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน
เมื่อกดคันเร่งออกตัว สิ่งที่ทำให้ประทับใจ คืออัตราที่ทำได้ดีเลยทีเดียวครับ แต่ด้วยอัตราทดเกียร์ 1 ที่อยู่ที่ 3.454 อาจจะทำให้กียร์ 1 ต้องลากรอบสูงเสียหน่อย แต่ก็แลกกับการพุ่งของรถก็ไหวอยู่ ส่วนตั้งแต่เกียร์ 2 ถึง เกียร์ 5 ขึ้นไปนั้นจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไม่มีปัญหา แม้กระทั่งจังหวะเร่งแซงที่จากเกียร์ 5 ลดมา 4 หรือจาก 4 ลดมา 3 ก็สามารถเอาตัวรอดได้อย่างสบายๆ
แถมขับสนุกสียด้วย เพราะได้ทั้งอัตราเร่ง และความนุ่มนวลไปในคราวเดียว แถมคลัทช์ไม่แข็งอีกด้วย ชอบครับขอบ
อัตราเร่งต้องบอกว่าดีทีเดียว ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็สามารถไต่ระดับความเร็วได้ตามอำนาจควบคุมที่ใจต้องการแล้วครับ ซึ่งเห็นเครื่องยนต์แค่ 1.25 ลิตร นี้ก็อย่าพึ่งไปสบประมาทเขาน่ะจะบอกให้ เพราะความเร็วสูงสุดที่ทำได้ครั้งนี้อยู่ที่ระดับ เฉี่ยวๆ 190 กม./ชม. เลยทีเดียว
ยี่งช่วงล่างรุ่นนี้ถือว่าไม่ขี้เหร่มากนัก โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องใช้ความเร็วสูงไว้ใจได้ครับ ส่วนพวงมาลัยที่เป็นระบบ แร็คแอนด์พิเนี่ยน ยังมีความรู้สึกเมื่อขับด้วยความเร็วแล้วอาจจะรู้สึกเบามือไปสักนิด หวิวๆในบางจังหวะ ... แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นตัวช่วยในการหมุนพวงมาลัยได้สำหรับคุณผู้หญิงที่ขับในเมือง
การขับในเมือง ช่วงล่างไม่ค่อยนุ่มนวลเท่าไหร่ ถ้าใครมาใช้ในชีวิตประจำวันก็ต้องยอมรับในความแข็งของช่วงล่างกันบ้าง แต่ก็เข้าใจครับ รถเกียร์ธรรมดา ก็ต้องถูกเซ็ตช่วงล่างออกมาให้สปอร์ตๆ หน่อย
และใครว่าเจ้ารถอีโคคาร์ นี้เดินทางออกต่างจังหวัดไปไหนมาไหนลำบาก ต้องขอบอกเลยว่าไม่จริงนะคร๊าบบ เพราะตลอดการทดลองขับในครั้งนี้ ได้ใช้เส้นทางมุ่งหน้าสู่ประตูอีสานไปยังจังหวัด นครราชสีมา (โคราช) ซึ่งใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระหว่าง 120 – 140 กม./ชม. โดยใช้ความรู้สึกเสมือนการขับขี่ออกต่างจังหวัดด้วยรถเครื่องขนาดปกติทั่วไป ทั้งการเร่งแซงในความเร็วสูง การขับในความเร็วปกติ ไม่มีปัญหา
ส่วนเรื่องของความประหยัดนั้น ซูซูกิ เคลมอัตราการสิ้นเปลืองไว้ที่ 20 กม./ลิตร โดยตั้งแต่ขึ้นไปนั่งบนรถด้วยความจุน้ำมันเต็มถังที่ 42 ลิตร ได้แสดงผลบนหน้าจอเรือนไมล์ว่าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 620 กม. แต่จากการขับขี่ด้วยลักษณะดังกล่าวข้างต้นสลับกับใช้ในเมืองปกติที่เจอรถติดบ้างอะไรบ้าง และวิ่งจนกระทั่งไฟแดงเตือนน้ำมันหมดโชว์ขึ้นมา สามารถวิ่งได้ในระยะทาง 493.5 กม. โดยอัตราสิ้นเปลืองต่อลิตรบนหน้
จอแสดงผลเฉลี่ยตลอดการเดินทางแสดงให้เห็นถึงอัตราสิ้นเปลืองรวมอยู่ที่ 13.9 กม./ลิตร
โดยรวมแล้ว เจ้า ซูซูกิ สวิฟท์ อีโคคาร์ เกียร์ธรรมดา คันนี้ ถือได้ว่าให้ความรู้สึกสนุกสนานในการขับขี่อย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเชียว ...


