ศุลกากร ยันรัฐบาลรักษาการไม่สะดุด เจรจาภาษีสหรัฐ เข้มถิ่นกำเนิดสินค้า สกัดสวมสิทธิ์
อธิบดีศุลกากรระบุ การเจรจามาตรการภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อ แม้รัฐบาลรักษาการ ระหว่างรอข้อสรุปยังใช้เกณฑ์ Substantial Transformation ตรวจเข้มสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า
KEY
POINTS
- กรมศุลกากรยืนยันว่าสถานะรัฐบาลรักษาการไม่ส่งผลกระทบต่อการเจรจามาตรการภาษีและกฎถิ่นกำเนิดสินค้ากับสหรัฐฯ โดยทีมเทคนิคยังคงหารือกันอย่างต่อเนื่อง
- ระหว่างการเจรจา ไทยยังคงใช้หลักเกณฑ์การเปลี่ยนสภาพอย่างมีนัยสำคัญ (Substantial Transformation) ในการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าไปก่อน
- มีการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์และบิดเบือนถิ่นกำเนิดสินค้า โดยร่วมมือกับกรมการค้าต่างประเทศและเตรียมเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิด
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการกำหนดถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ว่า ยืนยันว่าแม้อยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการดังกล่าว โดยขณะนี้ฝ่ายเจรจากำลังดำเนินการหารือในด้านเทคนิคกันอย่างต่อเนื่อง
แต่ขณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งเรื่องตัวเลขหรือเกณฑ์ที่จะใช้ในการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าในประเทศ (Regional Value Content : RVC) รวมไปถึงการกำหนดสัดส่วน Local Content โดยระหว่างที่ยังเจรจาและยังไม่มีข้อสรุปในรายละเอียดเหล่านี้ ทำให้ไทยยังใช้หลักเกณ์ Substantial Transformation หรือการเปลี่ยนสภาพสินค้าอย่างมีนัยสำคัญ เป็นแนวทางในการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าเช่นเดิมไปก่อน
ทั้งนี้ กรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศได้ให้ข้อมูลและคำแนะนำแก่ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา เพื่อให้เตรียมตัวรับมือกับการตรวจสอบที่เข้มข้น และสร้างความเชื่อมั่นให้สหรัฐฯ ในความถูกต้องของถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อตอบสนองข้อกังวลของคู่ค้าเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งถือเป็นมาตรการ Non-Tariff กรมศุลกากรได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการบิดเบือนถิ่นกำเนิดสินค้า โดยตั้งคณะทำงานร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและตรวจสอบการสวมสิทธิ์
"การทำงานร่วมกันระหว่างกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศยังคงดำเนินต่อเนื่องตามปกติ ฝ่ายเทคนิคยังคงเดินหน้าเจรจาอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะอยู่ในสถานะรักษาการ โดยระหว่างนี้ก็ใช้หลักเกณฑ์เดิม คือ Substantial Transformation ไปก่อน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศ และกรมศุลกากรก็มีการให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร จะมีการเพิ่มความเข้มงวดในส่วนไหน โดยเฉพาะเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ เพื่อให้ประเทศปลายทาง โดยเฉพาะสหรัฐฯ เชื่อมั่นในเรื่องถิ่นกำเนิด ทั้งหมดทำงานร่วมกันมาโดยตลอด เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการก็ทราบดีอยู่แล้วถึงสิ่งที่จะต้องเตรียมตัว” นายพันธ์ทอง กล่าว
นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบความเสี่ยง เช่น การนำเข้าสินค้าไป Free Zone แล้วส่งออกซ้ำโดยไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบ พร้อมเตรียมเพิ่มเกณฑ์เปรียบเทียบระงับคดีในกรณีที่มีการแปลงถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อส่งออก จุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดโทษปรับสูงขึ้นสำหรับผู้หลีกเลี่ยงถิ่นกำเนิด เนื่องจากของขาออกไม่มีภาระค่าภาษี ทำให้ค่าโทษเดิมเบา


