ไทย–กัมพูชาในเกมยืดเยื้อ เลี้ยงสงครามหรือเร่งจบ ผลประโยชน์ใคร
ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่แค่ปัญหาความมั่นคง แต่สะท้อนเกมการเมือง การสร้างคะแนนนิยม และทางเลือกยากระหว่างกำลังทหารกับการทูต
KEY
POINTS
- ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาได้กลายเป็นประเด็นการเมืองภายในประเทศ ที่แบ่งสังคมออกเป็นสองแนวทาง คือฝ่ายที่ต้องการใช้กำลังทหารเผด็จศึกให้จบสิ้น และฝ่ายที่สนับสนุนการเจรจาทางการทูต
- มีการตั้งข้อสังเกตว่าความขัดแย้งที่ยืดเยื้ออาจเป็นสภาวะที่เอื้อประโยชน์ให้บางกลุ่มทางการเมืองและกองทัพ สามารถใช้สถานการณ์เพื่อธำรงอำนาจและสร้างคะแนนนิยมผ่านกระแสชาตินิยม
- ผู้เชี่ยวชาญเสนอทางออกที่สมดุล โดยใช้กำลังทหารเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง แต่ยังคงเปิดประตูสู่การเจรจาอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและกระทบความน่าเชื่อถือของประเทศ
ภาพใหญ่ความขัดแย้งและเดิมพันทางการเมือง
สถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาได้ขยายจากปัญหาความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ สู่เวทีสะท้อนการเมืองภายในประเทศอย่างชัดเจน ความตึงเครียดที่ยืดเยื้อไม่ได้กระทบเพียงอธิปไตยหรือความปลอดภัยของประชาชนชายแดน แต่ยังส่งผลต่อความชอบธรรมของรัฐบาลและบทบาทของกองทัพในสายตาสาธารณชน
ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว สังคมไทยแตกออกเป็นสองกระแสหลัก กระแสแรกเรียกร้องให้ใช้กำลังอย่างเด็ดขาด “เอาให้จบ” เพื่อยุติปัญหาที่ค้างคา ขณะที่อีกกระแสเห็นว่าการเจรจาและกลไกการทูตคือทางเลือกที่ลดการสูญเสียในระยะยาว ความขัดแย้งจึงกลายเป็นสนามถกเถียงเชิงนโยบายควบคู่กับสนามการเมือง
ภายใต้บริบทนี้ แนวคิดเรื่อง “การเลี้ยงสงคราม” ถูกหยิบมาอธิบายว่า ความยืดเยื้ออาจไม่ใช่ความล้มเหลวเชิงยุทธศาสตร์ แต่เป็นสภาพที่เอื้อให้บางกลุ่มธำรงอำนาจ สร้างภาพความจำเป็นของสถาบันด้านความมั่นคง และรักษาคะแนนนิยมท่ามกลางวิกฤตอื่นที่รุมเร้า
เลี้ยงสงครามหรือเร่งจบ ผลประโยชน์ใคร
ข้อกล่าวหาเรื่องการเลี้ยงสงครามตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ความไม่สิ้นสุดเปิดพื้นที่ให้กองทัพถูกมองเป็นที่พึ่งหลัก ขณะเดียวกันรัฐบาลสามารถอาศัยบรรยากาศชาตินิยมเพื่อย้ำภาพผู้นำเข้มแข็ง และลดแรงกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
ในมิติทางทหาร ไทยมีความได้เปรียบเหนือกัมพูชาอย่างชัดเจน ทั้งกำลัง อาวุธ และเทคโนโลยี เสียงสายแข็งเสนอแนวคิด “เผด็จศึก” หรือการใช้กำลังอย่างรวดเร็วเพื่อบีบให้ฝ่ายตรงข้ามยุติการปะทะ โดยชี้เป้าไปยังโครงสร้างอำนาจของผู้นำอย่าง ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต เพื่อทำลายเจตจำนงในการสู้รบ
ในทางกลับกัน ฝ่ายที่เสนอการเจรจา เช่น กลุ่มนักการเมืองรุ่นใหม่ มองว่าการทูตคือทางออกที่ยั่งยืนกว่า ทว่าเสียงวิจารณ์ชี้ว่า การเจรจาจะมีน้ำหนักก็ต่อเมื่อฝ่ายไทยสร้างอำนาจต่อรองได้เพียงพอแล้ว ความเห็นต่างนี้สะท้อนรอยร้าวทางความคิดระหว่าง “ชัยชนะเร็ว” กับ “เสถียรภาพยาว”
มุมผู้เชี่ยวชาญและทางออกที่เลี่ยงไม่ได้
การประเมินของ รองศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชี้ว่า ยุทธศาสตร์ชายแดนไม่อาจทำให้ภัยคุกคามหมดสิ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เป้าหมายที่เป็นจริงได้มากกว่าคือการลดระดับความรุนแรง ผ่านพื้นที่กันชนหรือกลไกควบคุมการปะทะ ซึ่งต้องอาศัยทั้งกำลังและการทูต
อย่างไรก็ตาม ท่าทีแข็งกร้าวที่เน้นตอบโจทย์การเมืองภายใน อาจขัดกับความคาดหวังของประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็น อาเซียน หรือ สหรัฐอเมริกา ที่ต้องการเห็นเสถียรภาพมากกว่าการขยายวงความขัดแย้ง การส่งสัญญาณไม่ชัดเจนว่าจะ “ไม่เจรจา” แต่สุดท้ายต้องกลับไปพูดคุย ยิ่งบั่นทอนความน่าเชื่อถือทางการทูต
ทางออกจึงไม่ใช่การเลือกสุดขั้ว หากแต่เป็นการกำหนดกรอบเวลาและเป้าหมายชัดเจน ใช้กำลังเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง พร้อมเปิดประตูการเจรจาอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งถูกลากยาวจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ทางออกไทย–กัมพูชาต้องถ่วงดุลชาตินิยมกับการทูต หากปล่อยยืดเยื้อเพื่อคะแนนนิยม ความสูญเสียจะตกกับประชาชนและเสถียรภาพประเทศในระยะยาว
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
แหล่งที่มา : เนชั่นสุดสัปดาห์ (คลิ๊กชม)


