การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน
โดย..สาธิต บวรสันติสุทธิ์
โดย..สาธิต บวรสันติสุทธิ์
และแล้วในช่วงเทศกาลสงกรานต์ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวสงกรานต์บ้านเรา นักลงทุนต่างชาติก็เริ่มขายหุ้นออกจากประเทศไทยเหมือนกัน หุ้นหลายตัวเริ่มมีราคาที่ปรับลดลงจากระดับราคาปกติอย่างมาก ขณะที่นักวิเคราะห์ก็เริ่มมีความเห็นที่แตกต่างกันออกมา บ้างก็บอกว่า จะเป็นการพักฐานระยะสั้น บ้างก็บอกว่าเริ่มเข้าสู่ตลาดหมีแล้ว ปรากฏการณ์นี้ก็เหมือนปรากฏการณ์ที่เกิดมาตลอดนับครั้งไม่ถ้วนและย้ำคำเตือนของ ก.ล.ต.ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” สังเกตดีๆ นะครับ ก.ล.ต.ไม่ระบุว่า การลงทุนมีกำไร หรือขาดทุน เพราะนั่นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่ที่การลงทุนมีแน่ๆ คือ ความเสี่ยง
ความเสี่ยง (Risk) เป็นคำที่เราได้ยินมานานแล้ว และเริ่มบ่อยขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติ (อย่างแผ่นดินไหว หรือน้ำท่วมไง) ความเสี่ยงทางการเมือง(ซึ่งเราก็ภาวนาขอให้ประเทศไทยย่ำแย่เพราะปัญหาการเมืองมากไปกว่านี้เลย) ความเสี่ยงทางการเศรษฐกิจ(ข้าวของที่ราคาแพงขึ้นทุกวัน จนเป็นปัญหาหลักที่คนไทยให้ความสนใจมากที่สุดตอนนี้) หรือความเสี่ยงทางเงิน (อย่างเช่นหุ้น หรือทองคำ ราคาตกลงอย่างตอนนี้ไง)
ความเสี่ยงเป็นเรื่องของโอกาสที่จะเกิดผลในทางลบที่เราไม่ปรารถนา และขนาดของความเสียหายเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เราไม่พึงปรารถนาขึ้น ตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนก็คือ โอกาสที่หุ้นที่เราลงทุนจะราคาตกลง โอกาสนี้จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่าราคาหุ้นนั้นได้สูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่ ยิ่งหุ้นที่ราคาสูงขึ้นมากเท่าไร โอกาสที่หุ้นจะราคาลดลงก็มากขึ้นเท่านั้น การบริหารความเสี่ยงด้านโอกาสคือ การป้องกันไม่ให้โอกาสเกิด หรือลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น วิธีที่ทำง่ายๆ ก็คือ เมื่อเห็นหุ้นราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐานมากๆ ก็อย่าไปซื้อ หรืออย่าไปลงทุนในหุ้นที่เล่นเก็งกำไร หรือเล่นตามกระแสข่าว เป็นต้น
ปัจจัยของความเสี่ยงอีกอย่าง คือ ขนาดของความเสียหาย เนื่องจากความเสี่ยงเป็นเรื่องของอนาคต อนาคตเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ไม่มีใครสามารถคาดการณ์อนาคตได้ถูกต้อง(แม้ว่าจะมีหลายคนชอบคุยโม้ว่า กะแล้วหุ้นต้องลง หรือหุ้นต้องขึ้น โชว์ความแม่นยำของตนเอง ส่วนใหญ่ก็มักเป็นคนที่ชอบพูดเมื่อเหตุการณ์เกิดแล้วทั้งนั้น หากเราไปดูพอร์ตของพวกนี้จริงๆจะเห็นว่าหลายคนก็ติดหุ้นอยู่เหมือนกัน อันนี้ทางวิชาการเขาเรียกว่า Hindsight Bias) การบริหารความเสี่ยงที่จะลดขนาดของความเสียหาย ทำได้หลายวิธี เช่น
lวิธีแรก คือ วิธีที่ ก.ล.ต.แนะนำ คือ การหาความรู้และศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน
lวิธีที่สอง คือ การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนโดยการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ที่เหมาะสมกับเราและภาวการณ์ลงทุน อย่างเช่น ในภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวควรเพิ่มการลงทุนในหุ้น เนื่องจากในช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัว ตราสารหนี้และเงินฝากจะให้ผลตอบแทนต่ำ สินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจก็คือ “หุ้นสามัญ” เพราะหุ้นจะได้ผลบวกโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว (Cyclical Stocks) ตราสารหนี้เอกชนก็สามารถลงทุนได้เพราะความเสี่ยงต่ำลง แต่ควรลงทุนตราสารหนี้ที่อายุสั้น เป็นต้น
lวิธีที่สาม คือ การกระจายอุตสาหกรรมที่จะเข้าลงทุน (Sector Diversification) ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะมีปัจจัยที่จะกระทบต่อความสามารถในการหารายได้ของธุรกิจที่แตกต่างกัน ทำให้ปัจจัยความเสี่ยงต่างกัน เช่น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะมีผลบวกต่อกลุ่มพลังงาน แต่มีผลลบต่อกลุ่มขนส่ง เป็นต้น หรือถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้น จะส่งผลลบต่อธุรกิจส่งออก แต่จะเป็นผลบวกต่อธุรกิจนำเข้า เป็นต้นดังนั้นการกระจายกลุ่มอุตสาหกรรมในการลงทุนจึงเป็นการบริหารความเสี่ยงที่ดีวิธีหนึ่ง
lวิธีที่สี่ คือ การกระจายเวลาที่จะลงทุน (Time Diversification) ในการลงทุนระยะยาว เรามักคาดหวังว่าราคาหุ้นจะไปตามการเติบโตของผลกำไรของบริษัท ถ้าบริษัทที่มีผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆ ราคาก็ควรจะวิ่งขึ้น แต่การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้นเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก เพราะเป็นไปตามจิตวิทยามวลชนมากกว่า การเข้าซื้อหุ้นแล้วหุ้นลง หรือขายแล้วหุ้นยังขึ้นต่อทั้งที่การตัดสินใจซื้อขายทำด้วยความมีเหตุผลจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำ ถูกแล้วยังมีถูกกว่า แพงแล้วยังมีแพงกว่า...ดังนั้นการซื้อทั้งหมด หรือขายทั้งหมดในครั้งเดียวจะมีความเสี่ยงอยู่
lวิธีที่ห้า คือ การลงทุนคือการลงทุน ไม่ใช่การพนัน ควรลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีพื้นฐานดี อย่าซื้อขายบ่อย เพื่อเก็งกำไร เพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ตลาดได้ถูกตลอดเวลา
lวิธีที่หก คือ กำหนดจุดขาดทุน หรือจุด Cut Loss เมื่อพบว่าการลงทุนที่เราตัดสินใจไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิดเปลี่ยนแปลง เราประเมินผิด เราได้ข้อมูลไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง หรือเกิดจากอารมณ์ของตลาดเปลี่ยนแปลงไป ฯลฯ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจะเป็นการดีกว่าที่เรายอมเสียเงินส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้
lวิธีที่เจ็ด คือ การใช้ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ช่วยในการบริหารความเสี่ยง ซึ่งปัจจุบันในตลาดหลักทรัพย์ฯมีตราสารอนุพันธ์ที่เราสามารถเลือกมาใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงมากมายแต่ทั้งนี้ ควรจะศึกษาให้เข้าใจและใช้ตราสารอนุพันธ์ให้ถูกต้อง ไม่งั้นแทนที่จะช่วยลดความเสี่ยงกลับเป็นเพิ่มความเสี่ยงไปเสียอีก
และจากวิธีต่างๆ ที่เล่ามานี้ สามารถใช้บริหารความเสี่ยงได้ผลหรือไม่ ผมขอยกผลการสำรวจพฤติกรรมของนักลงทุนบุคคลที่เน้นการลงทุนระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยปี 2553 โดยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน (ผู้สนใจสามารถดูรายงานฉบับเต็มได้ที่ http://www.set.or.th/setresearch/files/symposium/2553_paper2_presentation.pdf) ซึ่งผลการสำรวจมีดังนี้
lนักลงทุนทีมีผลกำไรมีการกระจายการลงทุนไปสินทรัพย์อื่น เช่น ตราสารหนี้ กองทุน ทองคำ มากกว่านักลงทุนที่ขาดทุน
lนักลงทุนทีมีผลกำไรมีระดับความรู้ก่อนการลงทุนมากกว่านักลงทุนที่ขาดทุน
lนักลงทุนที่มีผลกำไรจะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือแนวการลงทุนที่ตนกำหนดล่วงหน้าได้มากกว่านักลงทนที่ขาดทุน
lผู้ที่กำหนดอัตราผลขาดทุนที่ยอมรับได้จะมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือมีผลกำไรจากการลงทุนมากกว่าผู้ที่ไม่กำหนดอัตราผลขาดทุนที่ยอมรับได้
lนักลงทุนที่ซื้อขายผ่าน Internetที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมซื้อขายไม่บ่อยครั้ง มีการติดตามบทวิเคราะห์เป็นประจำ และหากมีการใช้รูปแบบการซื้อขายทางเทคนิคประกอบการตัดสินใจซื้อขาย จะมีโอกาสได้รับความสำเร็จมากขึ้น
lนักลงทุนที่มีผลกำไรจะใช้ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคประกอบการตัดสินใจมากกว่านักลงทุนที่ขาดทุน
lนักลงทุนที่ขาดทุนจะใช้ปัจจัยอื่นๆ เช่น ข่าวลือมากกว่านักลงทุนที่มีผลกำไร
lการทยอยซื้อหลักทรัพย์แต่ละหลักทรัพย์จะมีโอกาสได้รับความสำเร็จหรือมีผลกำไรมากกว่าการไม่ทยอยซื้อหลักทรัพย์
แต่สุดท้ายนี้ อยากขอสรุปสั้นๆ ว่า คนที่เสี่ยงที่สุดคือคนที่ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย ครับ


