จีนลงทุนยางล้อ5พันล้าน

ในนิคมฯไทรเบคก้าจ.ระยองส่วนพื้นที่รวม2.4พันไร่3พันล.

กนอ.จับมือ ไทร เบคก้าฯ เปิดนิคมฯ หลักชัยเมืองยาง รองรับอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา ระบุจีนสนผลิตยางล้อ 5,000 ล้านบาท

นางมณฑา ประณุทนรพาลผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวหลังลงนามสัญญาร่วมดำเนินงานกับบริษัท ไทร เบคก้า เอ็นเตอร์ไพร์ส ตั้งนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จ.ระยองว่า นิคมฯ หลักชัยเมืองยาง มีอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราขั้นปลาย และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งจะมีการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาง ไม้ยางพารา แผนพัฒนา 3 ปี มูลค่าลงทุน 3,240 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 2,441 ไร่ เปิดซื้อขายที่ดินเดือน ม.ค. 2554 ตั้งเป้าขายพื้นที่ได้หมดใน 2 ปี

นายหลักชัย กิตติพล กรรมการบริษัท ไทร เบคก้าฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนสนใจเข้ามาเจรจาซื้อขายพื้นที่กว่า 10 ราย รวมพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายใหญ่จากประเทศจีนเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยางล้อ เช่น บริษัท หางโจว จงเช่อ รับเบอร์ ผู้ผลิตยางล้ออันดับ 1 ของประเทศจีน สนใจเข้ามาซื้อที่ 300 ไร่ ตั้งโรงงานผลิตยางล้อรถยนต์ 1 ล้านเส้นต่อปี และยางรถ 10 ล้อ 3 แสนเส้นต่อปี และปีที่ 3 จะเพิ่มผลิตยางล้อรถยนต์เป็น 3 ล้านเส้น และรถ 10 ล้อ 1 ล้านเส้น งบลงทุน 5,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังร่วมกับไทร เบคก้าฯ เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางขึ้นในนิคมฯ เนื่องจากจีนถือเป็นผู้ใช้ยางรายใหญ่ของโลก การเข้ามาทำวิจัยและพัฒนาในแหล่งสัตถุดิบจะได้ประโยชน์สูงสุด โดยสามารถเริ่มวิจัยพัฒนาตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

“ตอนนี้เปิดโอกาสให้ผู้สนใจอื่นๆ เข้ามาร่วมลงทุนโดยถือหุ้นไม่เกิน 25% ซึ่งก็มีบริษัทจีนบางรายให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุน โดยการที่เราเปิดนิคมฯ นี้ เพราะเห็นอนาคตของอุตสาหกรรมยางยังโตต่อเนื่อง และจีนมีความต้องการมาก ย่อมสนใจเข้ามาตั้งโรงงานที่มีวัตถุดิบ” นายหลักชัย กล่าว

สำหรับนิคมฯ หลักชัยเมืองยาง ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.สำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง โดยมีทำเลอยู่ใกล้ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด สนามบินอู่ตะเภา ขนส่งสะดวก ใกล้แหล่งวัตถุดิบ

นายหลักชัย กล่าวว่า อุตสาห กรรมยางพาราของไทยควรก้าวขึ้นสู่อุตสาหกรรมขั้นปลาย เพราะปัจจุบันไทยส่งออกยางพาราในรูปของวัตถุดิบ เช่น น้ำยาง ยางแผ่น ยางแท่งเป็นส่วนใหญ่ และส่งออกผลิตภัณฑ์จากยางพาราเพียง 10% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าได้ 3 แสนล้านบาทต่อปี หากเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์ได้เป็น 50% มูลค่าจะได้ถึง 1 ล้านล้านบาท จึงต้องพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นปลายให้เพิ่มขึ้นจากเดิม

สำหรับราคายางพาราในตลาดโลกปี 2554 ราคาสูงกว่าปีก่อน 30% ตอนนี้อยู่ที่ระดับ 130 บาทต่อกิโลกรัมโดยไทยคาดการณ์ปริมาณการผลิตทั้งปีไว้ที่ 3.4 ล้านตัน จากพื้นที่ปลูกยาง 17 ล้านไร่ ส่วนความต้องการของตลาดโลกในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 11 ล้านตัน และจะเพิ่มขึ้นอีก 5% ในปีหน้า แต่ยังคงต้องจับตามองสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐ และสหภาพยุโรป (อียู) ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร เพราะจะส่งผลต่อราคาในตลาดโลกได้