สหรัฐจะเพิ่มเพดานหนี้ได้...หุ้นทั่วโลกกลับมาขึ้น
หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาแกว่งตัวขึ้นต่อ แม้ว่าจะมีความกังวลต่อปัจจัยภายนอกในประเด็นเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐ
หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาแกว่งตัวขึ้นต่อ แม้ว่าจะมีความกังวลต่อปัจจัยภายนอกในประเด็นเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐ
โดย..พงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์
ที่ในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป ทางโอบามาและโบห์เมอร์ ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ แม้ว่าจะใกล้วันครบกำหนดเส้นตายในวันที่ 2 ส.ค. เข้ามาทุกที
สำหรับแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่สูงในระดับพันล้านบาทต่อเนื่องเกือบทุกวัน เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวขึ้นได้ต่อ สอดคล้องกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตลอดสัปดาห์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้น 0.43% ถือเป็นการแข็งค่าเพิ่มขึ้นจากการแข็งค่านับตั้งแต่ปลายเดือน มิ.ย. กว่า 4%
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุด ยังคงเป็นเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ ซึ่งในเบื้องต้นจะมีประชุมสภาในวันที่ 28 ก.ค.นี้ เพื่อโหวตแผนการเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งในเบื้องต้นมี 2 แผน คือ ของทางเดโมแครต และของทางรีพับลิกันที่เสนอโดย จอห์น โบห์เนอร์ โดยแผนของทางโบห์เนอร์จะเป็น 2 ขั้นตอน ซึ่งขั้นตอนแรกจะเป็นการปรับเพิ่มเพดานหนี้ครั้งแรก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้พ้นการผิดนัดชำระหนี้ แต่ต้องปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ไม่จำเป็นลงอีก 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และหลังจากนั้น 6 เดือนจึงจะมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้อีก 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับการเพิ่มเพดานหนี้อีก 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ทางฝั่งเดโมแครต จะมีการเพิ่มเพดานหนี้ขึ้นไปเลยครั้งเดียว 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และลดยอดขาดดุลงบประมาณลง 2.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในแผนนี้คาดว่าจะเพียงพอต่อการใช้จ่ายจนไปถึงปี 2013 ซึ่งในเบื้องต้น หากยังเป็นทั้งสองแนวทางนี้และสามารถตกลงได้ก่อนวันที่ 2 ส.ค. สหรัฐจะไม่ผิดนัดชำระหนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มมีความกังวลว่า สหรัฐอาจจะถูกลดอันดับเครดิตหากครองเกรสเลือกใช้แนวทางของรีพับลิกัน เนื่องจากเป็นการเพิ่มเพดานเพียงในระยะสั้น ทำให้กังวลกันว่าอาจจะถูกลดอันดับลงจาก AAA หรือ Aaa ลง แต่ในเบื้องต้นเชื่อว่าหากสหรัฐสามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ก่อนวันที่ 2 ส.ค.นี้ ตลาดจะตอบสนองเชิงบวกก่อน แล้วค่อยมาติดตามกันอีกครั้งว่าความเห็นของบริษัทจัดอันดับจะมีการปรับอันดับเครดิตลงหรือไม่ในช่วงหลังจากที่รู้ผลของการผ่านแผนเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของสหรัฐเพิ่มขึ้น
ซึ่งทางมุมมองของทาง KGI ประเมินว่า สหรัฐจะไม่ผิดนัดชำระหนี้ในวินาทีสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายใดก็ตาม ซึ่งจะส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงหุ้นปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตามต้องติดตามต่อมาว่าจะมีการปรับลดอันดับเครดิตลงหรือไม่ หากมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ไม่มากพอซึ่งคือกรณีที่สภาผ่านแผนของรีพับลิกัน (ในกรณีนี้โอบามายืนยันที่วีโต) ตลาดอาจจะตอบสนองเชิงลบตามมาหลังจากนั้น แต่อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นทาง KGI ประเมินว่าหากสหรัฐไม่ผิดนัดชำระหนี้ในขั้นต้น ตลาดจะมีช่วงปรับตัวขึ้น
ด้านในประเทศ คาดว่าแนวโน้มเงินทุนที่ยังไหลเข้ายังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็ง ประกอบกับแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ยังซื้อสุทธิต่อเนื่อง ส่วนความคืบหน้าเรื่องรัฐบาลชุดใหม่ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาในวันจันทร์ที่ 1 ส.ค. 2554 ถือเป็นความคืบหน้าทางการเมือง ในขณะที่ทาง กกต.สืบสวนสอบสวน ประเมินว่าจะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง สส.ให้ครบร้อยละ 95 หรือ 475 คนได้ ทำให้ต่อจากนี้คาดว่าสภาจะเลือกนายกฯ ได้ในกลางเดือน ส.ค. และเริ่มเข้าทำงานในปลายเดือน โดยตลาดจะพิจารณา ครม.และนโยบายที่ทางพรรคเพื่อไทยประกาศไว้ ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ซึ่งหลายนโยบายถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สำคัญและมีผลต่อเงินเฟ้อ
ทางด้านทิศทางเทคนิค ระยะสั้นยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น โดยแนวต้านหลักที่รอทดสอบและมีโอกาสชะลอตัวลงอยู่ที่บริเวณ 1,140 และ 1,160 จุด คาดว่าที่บริเวณดังกล่าวจะเห็นแรงขายมาพอควรหากมีการปรับตัวขึ้นทันทีโดยไม่หยุดพัก เนื่องจากเครื่องมือทางเทคนิคเริ่มเข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามในตลาดขาขึ้น การเข้าเขตซื้อมากเกินไปไม่ได้เป็นสัญญาณขาย แต่เป็นสัญญาณเพื่อระวังการปรับฐาน จนกว่าจะมีสัญญาณขายจากเครื่องมือชนิดอื่น
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนถือหุ้นต่อ หรือรอซื้อเก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ช่วงปรับตัวลง เนื่องจากคาดว่าในที่สุดตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นหลังจากที่สภาสหรัฐอนุมัติเพิ่มเพดานหนี้ ในขณะที่ปัจจัยภายใน หากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุมใหม่เรียบร้อยและแถลงนโยบายต่อสภาแล้ว ตลาดจึงถึงจะเริ่มหมดธีมเล่นในช่วงสั้น โดยระดับดัชนีที่น่าสนใจขายอยู่ที่ 1,160 จุด


