posttoday

ทำไมไทยตัดสินใจถูก ที่งดออกเสียงไม่ไล่รัสเซีย

09 เมษายน 2565

รัสเซีย สหรัฐ จีน มีประเทศไหนบ้างที่มือสะอาดจนสามารถประณามชาติอื่นว่าเป็นศัตรูของหลักการสิทธิมนุษยชน?

ช่วงหลังๆ มานี่รัสเซียถูกกล่าวหาสังหารโหดพลเรือนในยูเครนบ่อยครั้งมากขึ้น กรณีที่ทำให้โลกหมดความอดทนคือการสังหารหมู่ที่เมืองบูชา เป็นเหตุให้สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติลงมติให้ระงับรัสเซียจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) มีคะแนนเสียงเห็นชอบ 93 เสียง ขณะที่ 24 ประเทศไม่เห็นด้วย และ 58 ประเทศงดออกเสียง ด้วยการผลักดันที่นำโดยสหรัฐและชงโดยยูเครน

รัสเซียไม่ยอมรับการถูกเตะออกจาก UNHRC บอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรมด้วยกฎหมาย ส่วนยูเครนนั้นถึงกับบอกว่า "ซาบซึ้งใจ" ในสมาชิกยูเอ็นที่ช่วยกันขับรัสเซียออกไปจากสภาสิทธิมนุษยชนแห่งนี้

ในวันเดียวกับที่รัสเซียถูกไล่ออกจาก UNHRC เพราะถูกกล่าวหาเรื่องสังหารพลเรือนที่บูชา ผู้ว่าการแคว้นโดเนตสค์ทางตะวันออกของยูเครนกล่าวหากองกำลังรัสเซียในการยิงระเบิดลูกปรายที่สถานีรถไฟในเมืองครามาตอสก์ คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 50 คน ผู้ว่าของเมืองบอกว่าการโจมตีครั้งนี้ "มีจุดมุ่งหมายเพื่อโจมตีพลเรือน”

แต่อีกครั้ง เช่นเดียวกับกรณีเมืองบูชา รัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ และเช่นเดียวกับครั้งก่อน รัสเซียบอกว่ายูเครนนั่นแหละที่ลงมือทำเองเพื่อจัดฉากใส่ร้ายป้ายสีรัสเซีย

กรณีเมืองบูชารัสเซียเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน ยังไม่ทันสอบ UNHRC ก็ถอดรัสเซียออกจากสถานะสมาชิกไปเสียก่อน

ดูเผินๆ เหมือนรัสเซียจะถูกโดดเดี่ยว แต่ถ้ารัสเซียเชื่อมั่นจริงๆ ว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าคนบริสุทธิ์ การถูกไล่ (ชั่วคราว) จาก UNHRC จะเป็นผลดีกว่า นั่นหมายความว่าหาก UNHRC หรือหน่วยงานอิสระใดๆ ก็ตาม ตั้งคณะสอบสวนขึ้นมาจริงๆ เรื่องการสังหารพลเรือนในยูเครน ผลการสอบสวนนี้จะไม่ถูกมองว่าถูกรัสเซียใช้อำนาจแทรกแซง

เรื่องนี้เกี่ยวถึงไทยด้วย การลงมติกรณีขับรัสเซียนั้นไทยงดออกเสียง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้บางคนไม่พอใจที่ไทยอาจจะเอียงไปทางรัสเซีย "จนน่าเกลียด" โดยเฉพาะกลุ่มคนใส่ใจปัญหาสิทธิมนุษยชนมากๆ ย่อมคิดว่าไทยกำลังสนับสนุน "มารร้าย" ที่ทำลายชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์หรือไม่?

แต่ผู้เขียนคิดว่าไทยแสดงท่าทีถูกต้องแล้ว 

เหตุผลนั้นอยู่ในคำอธิบายแถลงของนายสุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ที่ชี้แจงถึงการตัดสินใจงดออกเสียงดังกล่าว 7 ข้อ หนึ่งในเหตุผลคือ

"ในการพิจารณาสถานการณ์อย่างยุติธรรม จำเป็นต้องมีข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับและหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเพิ่มเติมที่สามารถพิสูจน์ได้ จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งรวมถึงเอกสารที่จะนำเสนอต่อศาลระหว่างประเทศ เราจึงสนับสนุนการเรียกร้องของเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสจี) ให้มีการสอบสวนโดยอิสระ เพื่อรับรองความรับผิดชอบและหวังว่าคณะกรรมการสอบสวนอิสระระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้นโดยเอชอาร์ซี จะสามารถเริ่มเริ่มต้นทำงานได้เร็วที่สุดในการสืบสวนข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงนี้อย่างเป็นกลาง โปร่งใสและครอบคลุม"

มันไม่ได้หมายความว่าไทยเอียงเข้าข้างรัสเซีย แต่หมายความว่าก่อนจะบอกว่ารัสเซียทำควรจะตรวจสอบให้ชัดก่อนว่าทำจริงหรือไม่ 

อย่าเอาเยี่ยงอย่างผู้นำชาติตะวันตกที่ใช้ความรู้สึกชี้นำโลก เช่น อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปที่กล่าวกับนักข่าวบนรถไฟหลังการเยือนยูเครนว่า “สัญชาตญาณของฉันบอกว่า ถ้านี่ไม่ใช่อาชญากรรมสงคราม แล้วจะเรียกอาชญากรรมสงครามว่าอะไร"

ถามจริงๆ ว่าเรื่องแบบนี้ใช้สัญชาติญาณกันได้ด้วยหรือ?

แต่ ฟอน เดอร์ เลเยน ก็พูดสำทับในเวลาเดียวกันว่า"แต่ฉันเป็นแพทย์โดยอาชีพ และทนายความต้องสอบสวนอย่างรอบคอบ” - การพูดแบบนี้แม้จะดูเหมือนถ่วงดุลกับประโยคแรก แต่พูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกก็ยังไม่สมควรอย่างยิ่งกับเรื่องเปราะบางแบบนี้

เรื่องความชอบธรรมของการก่อสงครามก็เรื่องหนึ่ง ข้อหาอาชญากรรมสงครามก็เรื่องหนึ่ง หากเอามาปนกันกระบวนการใช้กฎหมายระหว่างประเทศจะเกิดความลำเอียงขึ้นมา

โดยเฉพาะ UNHRC นั้นมีปัญหาภายในมาโดยตลอด เพราะชาติตะวันตกกล่าวหาว่า "ลำเอียง"

แต่ไรมาพวกชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐไม่พอใจ UNHRC จนชักเข้าชักออกก็หลายครั้ง สหรัฐแม้จะโพนทะนาตัวเองว่าเป็นแชมเปี้ยนแห่งหลักสิทธิมนุษยชน แต่หาเรื่องถอนตัวจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติแห่งนี้ 2 ครั้งแล้ว เหตุผลก็คือเชื่อว่า UNHRC ลำเอียงในเรื่องโจมตีอิสราเอลบ่อยเกินไป

รู้ๆ กันอยู่ว่าสหรัฐอุ้มอิสราเอลแค่ไหน เป็นที่เข้าใจว่าเมื่อลูกหาบถูกโจมตี ลูกพี่ก็ต้องปกป้องเป็นธรรมดา แต่มันก็มีความไม่แฟร์เช่นกันเรื่องที่ UNHRC มักจะเล่นงานอิสราเอล (ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวปาเลสไตน์) ถี่เกินไป เกินจนผิดปกติ ขณะที่โลกเราก็ยังมีปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกมากมายที่ไม่ได้ถูกเทน้ำหนักเท่าอิสราเอล

ทำไมมันถึงถูกกล่าวหาว่าทำงานเอียงกระเท่เร่แบบนั้น?

จากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ในปี 2551 อ้างข้อมูลกลุ่มสิทธิมนุษยชนอิสระกล่าวว่า UNHRC กำลังถูกควบคุมโดยประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาบางประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจีน รัสเซีย และคิวบา ซึ่งปกป้องซึ่งกันและกันจากการถูกพากษ์วิจารณ์

จะเห็นว่าอำนาจการโหวตอยู่ในกลุ่ม "ประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" (ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น) ที่อาจจะเป็นทั้งประเทศโปรจีน โปรรัสเซีย หรือไม่ได้โปรใครเลยแต่ไม่ชอบ "วาทกรรมสิทธิมนุษยชน" ที่ชาติตะวันตกผูกขาด

ถามว่ามันแฟร์ไหม? ถ้าว่ากันตามหลักประชาธิปไตยที่ทุกประเทศมีสิทธิ์โหวตเท่ากัน มันแฟร์ที่สุดแล้ว เว้นแต่คุณจะคิดว่าประเทศเหล่านั้นเป็น "ผู้ร้าย" ที่ไม่ควรมีความชอบธรรมใดๆ ในสภาพแห่งสิทธิมนุษยชน

ชาติตะวันตกมองสมาชิกส่วนใหญ่ใน UNHRC เป็นแบบนี้จริงๆ นั่นคือไม่ชอบธรรม เพราะมีปัญหาสิทธิมนุษยชนกันทั้งนั้น ส่วนตัวเองไร้มลทินจากปัญหาพวกนั้นแถมยังเป็นผู้เชิดชูหลักสิทธิมนุษชนตัวจริง

ในเมื่อสู้ไม่ไหว สหรัฐจึงถอนตัวออกจาก UNHRC เสียอย่างนั้น แล้วออกมาโปรโมทแนวทางสิทธิมนุษยชนของตัวเอง ซึ่งหลายๆ ประเทศบอกว่ามันไม่ใช่การส่งเสริมหลักการอะไรหรอก มันเป็นแค่การใช้สิทธิมนุษยชนมาบังหน้าเพื่อโจมตีประเทศอื่นเสียมากกว่า

เมื่อสหรัฐออกมา UNHRC ก็กลายเป็นของ "กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" อยู่หลายปี แต่สหรัฐเปลี่ยนผู้นำมาเป็นพรรคเดโมแครตเมื่อไร เช่น สมัยโอบามาหรือสมัยไบเดน ก็จะหวนกลับมานั่งเก้าอี้ UNHRC อีกครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน สหรัฐกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ และยังสามารถเขี่ยรัสเซียออกไปได้ด้วย

สมกับที่ผู้นำบางคนต้องการให้สหรัฐกลับมาเหลือเกินเพื่อมาสร้างดุลอำนาจในคณะมนตรีแห่งนี้

แต่สหรัฐจะเขี่ยรัสเซียออกไปได้อย่างถาวรหรือไม่นั้น ทั้งมวลขึ้นอยู่กับว่าการสังหารหมู่พลเรือนที่ยูเครน รัสเซียลงมือจริงหรือไม่หากทำจริงแล้วมีหลักฐานมัดตัวแค่ไหน หากมีหลักฐานสหรัฐย่อมเอารัสเซียตายแน่นอน เพราะตอนนี้ตัวเองเริ่มมีบทบาทใน UNHRC อีกครั้ง

แต่ถ้าจับคาหนังคาเขาไม่ได้ สหรัฐเองนั่นแหละที่อาจจะต้องอัปเปหิตัวเองออกจากสภาพแห่งนี้ไปอีกรอบ เพราะหลายประเทศเขารับไม่ได้กับแนวทางสิทธิมนุษยชนของสหรัฐ โดยเฉพาะการโจมตีประเทศอื่นๆ ว่ากดขี่อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ตัวเองก็ละเมิดประเทศอื่นไม่ใช่น้อย แถมยังเสียงอ่อยๆ เวลาอิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์

แน่นอนว่า UNHRC อาจจะลำเอียง "รังแก" อิสราเอลอย่างไม่แฟร์ไปหน่อย (อย่างที่ชาติตะวันตกว่า) แต่สหรัฐและชาติตะวันตกก็ไม่แฟร์เช่นกันที่ทำเป็นลืมตาข้างเดียวกับประเทศพันธมิตรของที่ตัวเอง

กรณีขับรัสเซียออกจากสภานี้ก็ชัดเจนว่า UNHRC ไม่ได้หน้ามืดตามัวโอบอุ้มรัสเซีย และสะท้อนว่าคณะมนตรีแห่งนี้ไม่ได้ถูกครอบงำโดยรัสเซียหรือจีนอย่างที่บางกลุ่มกล่าวหา

เมื่อรัสเซียถูกกล่าวหาว่ากระทำการผิดมนุษยมนา ก็ต้องไล่ออกไปก่อน แล้วตั้งทีมสอบสวนให้มีหลักฐานชัดๆ จากนั้นค่อยตะเพิดถาวรก็ยังไม่สาย อย่างที่ไทยได้เสนอมา นี่เป็นท่าทีที่ชาญฉลาด สุขุมรอบครอบ

เมื่อรัสเซียผิดจริง ชาวโลกที่สนับสนุนรัสเซียก็มีเหตุให้ควรเลิกคบหาเสีย หาไม่แล้วก็เท่ากับร่วมมือกับ "จอมมาร"

แต่มันยังมีวิธีการบางอย่างที่รัสเซียสามารถศึกษาจากชาติตะวันตกได้ อย่างหลายกรณีที่ทหารในกองทัพสหรัฐสังหารและทรมานพลเรือนจำนวนมากในอิรักและอัฟกานิสถาน กรณีเหล่านี้กองทัพสหรัฐ/ประเทศสหรัฐไม่ได้ถูกเอาผิดฐานอาชญากรสงคราม ไม่มีใครคว่ำบาตร และไม่มีใครเจ็บปวดกับเหยื่อพวกนี้ (ในระดับเดียวกับที่ยูเครน) เพราะกรณีเหล่านี้ถูกโยนให้เป็นผลงานของ "ทหารนอกแถว" บางคน และสหรัฐจัดการสอบสวนและตั้งศาลพิจารณา "อย่างโปร่งใส"

ผลก็คือ การฆ่าพลเรือนมากมายไม่ถือเป็นอาชญากรรมโดยรัฐ แต่กลับเป็นอาชญากรรมโดยบางบุคคล แต่คำถามก็คือรัฐควรรับผิดชอบหรือไม่? และหากรัสเซียทำแบบเดียวกันบ้างชาติตะวันตกจะยอมรับได้หรือเปล่า?

ตอบให้เลยว่ายากจะยอมรับ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมประเทศโลกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดจึงไม่เข้าข้างพวกชาติตะวันตก เพราะรู้นิสัยใจคอว่าเอาแต่หลักการตัวเองเป็นที่ตั้งและมักจะใช้หลักสิทธิมนุษยชนไม่ใช่โดยเจตนาบริสุทธิ์ แต่เพื่อหวังผลการเมือง

ดังที่ จ้าวลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวตอบว่าทำไมจีนถึงไม่โหวตขับรัสเซียจาก UNHRC เขาตอบว่า “เราคัดค้านการใช้ประเด็นทางการเมืองและการใช้เครื่องมือในประเด็นสิทธิมนุษยชน การเลือกปฏิบัติสองมาตรฐานและการเผชิญหน้าในประเด็นสิทธิมนุษยชน และการใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนเพื่อสร้างแรงกดดันต่อประเทศอื่นๆ”

และชาติตะวันตกนั้นก็หาใช่พ่อพระไม่ บางกรณียังถูกมองว่าเป็นยักษ์เป็นมารด้วยซ้ำ

ชาติตะวันตกนั้นต้องการให้โลกอยู่ในระเบียบที่ตัวเองสร้างขึ้น ประชาธิปไตยก็ต้องเป็นประชาธิปไตยเวอร์ชั่นของพวกตน ทุนนิยมก็ต้องทุนนิยมเสรีสุดติ่งแบบพวกตน และ "วาทกรรมสิทธิมนุษยชน" ก็ต้องเป็นวาทกรรมที่พวกตนนิยมขึ้น

หากผิดไปจากนี้ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่สิทธิมนุษยชน

ประเทศอื่นๆ ไม่พอใจการยัดเยียดแบบนี้ ไทยเองก็ถูกกระทำอยู่เนืองๆ แต่ก็นอบน้อมด้วยดีเพราะตัวองก็มีปัญหานี้จริงๆ ทว่าบางครั้งไทยก็ต้องเถียงบ้างให้รู้ว่าเราแก้ปัญหาจริงจัง และประเทศที่ต่อว่าเราก็ใข่ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์เสียเมื่อไร

ไทยเราน่าจะเรียนวิธีตอบโต้ที่เผ็ดร้อนแบบจีน

ผู้ที่เถียงเรื่อง "วาทกรรมสิทธิมนุษยชน" ของตะวันตกได้แหลมคมที่สุดคนหนึ่งคือ ศ. จางเหวยเหว่ย ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีนที่มหาวิทยาลัยฟู่ต้าน มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ศ. จาง เขียนไว้ในบทความเรื่อง "ยุติธรรมหรือไม่ที่ชาติตะวันตกจะวิพากษ์วิจารณ์ประวัติสิทธิมนุษยชนของจีน?"

เขาบอกว่าชาติตะวันตกนั้นยกเรื่องการสร้างประชาธิปไตยและเสรีภาพส่วนบุคคลเป็นประเด็นสิทธิมุนษยชนอันดับแรก แต่จีนคิดว่าปัญหาสิทธิมนุษยชนอันดับแรก คือทำให้คนได้มีกินมีใช้ มีปัจจัยพื้นฐานในชีวิตเสียก่อน

ศ. จาง ยกตัวอย่างว่า "เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผมเสมอที่หลายคนในตะวันตกเชื่อว่าพวกเขารู้จักจีนดีกว่าคนจีน รู้จักแอฟริกาดีกว่าคนแอฟริกัน หรือรัสเซียดีกว่าคนรัสเซีย นี้เป็นสิ่งที่ผิด ยกตัวอย่างแอฟริกา ตะวันตกมักคิดว่าการสร้างประชาธิปไตยควรมีความสำคัญสูงสุดสำหรับแอฟริกา แต่อย่างน้อยก็ควรถามชาวแอฟริกันด้วยตัวเองว่าพวกเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้เดินทางไปหลายประเทศในแอฟริกา และพูดได้เลยว่าชาวแอฟริกันส่วนใหญ่ต้องการแก้ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน เช่น อาหาร งาน การรักษาโรค และความปลอดภัยบนท้องถนน แต่ตะวันตกขอให้พวกเขาวางระบอบประชาธิปไตยไว้เหนือสิ่งอื่นใด และในท้ายที่สุด มีกี่ประเทศแล้วที่จบลงด้วยความโกลาหล?"

ดังนั้นในสายตาของจีน สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ต้องแก้ก่อนคือการกำจัดความยากจน และจีนก็ทำเรื่องนี้สำเร็จจริงๆ ถามว่ามันจะทำให้จีนเสรีขึ้นไหม ตอบว่าไม่เสมอไป เพราะตอนนี้จีนกลับมีบรรยากาศที่เข้มงวดขึ้น ไม่ได้กลายเป็นสังคมที่เปิดกว้างขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่สวนทางกับค่านิยมตะวันตก ยิ่งทำให้สองฝ่ายลงรอยกันไม่ได้ในประเด็นดังกล่าว และทำให้คำกล่าวของ ศ. จางเหวยเหว่ย มีปัญหาในจุดนี้

แต่ทัศนะของเขาก็เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ได้ดี อย่างที่จางเหวยเหว่ยยกสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจเป็นธงนำโจมตีค่านิยมอเมริกัน

เขาบอกว่า "มัน (สิทธิมนุษยชนตะวันตก) ล้มเหลวในการรักษาสมดุลระหว่างสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองและสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนของอเมริกาไม่รวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม หากสหรัฐฯ สามารถจัดการกับปัญหาของชาวอเมริกันเกือบหนึ่งในหกที่ไม่มีประกันสุขภาพ จากมุมมองด้านสิทธิมนุษยชนได้ มันอาจจะง่ายกว่ามากสำหรับสหรัฐฯ ในการแก้ปัญหานี้"

เรื่องนี้เป็นความจริงที่แปลกประหลาด คือสหรัฐมีระบบสาธารณสุขที่ไม่เป็นธรรมที่สุด (หรือด้อยพัฒนาที่สุด) ในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว ประชาชนจำนวนมากไม่อาจเข้าถึงการรักษาพื้นฐานได้ เพราะสังคมอเมริกันหมกมุ่นกับทุนนิยมที่ใครมือยาวสาวได้สาวไปมากเกินเหตุ

ถามว่านี่เป็นบั่นทอนสิทธิมนุษยชนหรือไม่? ในสายตาของนักวิชาการคนนี้บอกว่า นี่คือปัญหาใหญ่เลยทีเดียว

ที่ยกแนวคิดของ ศ. จางเหวยเหว่ยมาบอกเล่าก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ประเทศส่วนใหญ่ในโลกเขาไม่ได้คล้อยตามค่านิยมตะวันตก พวกเขามีวิธีคิดที่ต่างออกไป และเป็นเหตุให้ UNHRC ถูกกล่าวหาว่าถูกบงการจากประเทศ (ที่ชาติตะวันตกกล่าวหาว่า) ละเมิดสิทธิมนุนุษยชนตัวเอ้

แน่นอนว่าหลายประเทศในโลกมีการกดขี่ผู้คนอย่างเลวร้ายจริง และมีที่นั่งใน UNHRC ได้อย่างหน้าตาเฉย แต่ประเทศที่บอกว่าตัวเองเป็นทูตสวรรค์ของหลักสิทธิมนุษยชนนั้น ก็ทอดทิ้งประชาชนของตัวเองใตามยถากรรมไร้มนุษยธรรมเช่นกัน

ยังไม่นับความขัดแย้งมากมายในศตวรรษที่ 21 ที่เกิดขึ้นจากชาติตะวันตกในนามของการกวาดล้างผู้ก่อการร้าย การสร้างประชาธิปไตย อย่างที่ จางเหวยเหว่ยกล่าวว่า "ถ้าคุณถามผมว่าอะไรคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงและร้ายแรงที่สุดในศตวรรษที่ 21 ผมจะบอกว่านั่นคือสงครามอิรัก ซึ่งสหรัฐอเมริกาเริ่มดำเนินการโดยขัดต่อเจตจำนงของชาวอิรักและประชาคมระหว่างประเทศ มีชีวิตผู้บริสุทธิ์กี่คนที่สูญเสียไปในสงครามครั้งนี้? นับแสนๆ คน สงครามครั้งนี้ทำให้คนไร้บ้านกี่คนหรือ? นับล้านคน"

คำถามก็คือ หากการรุกรานยูเครนและฆ่าพลเรือนยูเครนคืออาชญากรรม สิ่งที่เกิดขึ้นในอิรักควรเป็นการกระทำของอาชญากรหรือไม่?

โดย กรกิจ ดิษฐาน

Photo by RONALDO SCHEMIDT / AFP

ข่าวล่าสุด

‘ชาติพัฒนา’ มีมติไม่ส่งผู้สมัคร สส. ชี้หลายปัจจัยไม่เอื้อพรรคเล็ก