posttoday

“เครื่องบินวันสิ้นโลก” ศูนย์บัญชาการลอยฟ้าของสหรัฐหากเกิดสงครามนิวเคลียร์

25 มีนาคม 2565

สหรัฐส่งเครื่องบินวันสิ้นโลกบินเหนือน่านฟ้าอังกฤษเตรียมพร้อมหากเกิดสงครามนิวเคลียร์

ท่ามกลางคำขู่ของรัสเซียว่าหากนาโตเข้ามาแทรกแซงสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจเกิดสงครามนิวเคลียร์ ส่วนปูตินก็สั่งให้กองกำลังนิวเคลียร์เตรียมพร้อมเต็มอัตรา ก็มีผู้พบเห็น เครื่องบินโบอิง 747 E4-B Nightwatch หรือเครื่องบินวันสิ้นโลก (Doomsday Plane) ของสหรัฐบินป้วนเปี้ยนแถวอังกฤษ

จากข้อมูลของ FlightRadar24 พบว่า หลังจากเทกออฟจากสหรัฐแยกต่างหากจากเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันที่ส่งไบเดนไปร่วมประชุมกับพันธมิตรในยุโรป เครื่องบินวันสิ้นโลกบินผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกทางตอนใต้ของไอร์แลนด์ ก่อนจะบินวนอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และคาดว่าจะมุ่งหน้าสู่ RAF Mildenhall ซึ่งเป็นสถานีกองทัพอากาศของอังกฤษ แต่ทำหน้าที่สนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพอากาศสหรัฐ (USAF) เป็นหลัก

ที่เครื่องบินลำนี้มีชื่อน่ากลัวว่า “เครื่องบินวันสิ้นโลก” ก็เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานในวันที่เกิดสงครามนิวเคลียร์หรือเหตุไม่คาดฝันอื่นๆ ขึ้นจนศูนย์บัญชาการภาคพื้นดินของสหรัฐถูกทำลายหมดไม่ต่างจากวันสิ้นโลก

ด้วยเหตุนี้เครื่องบินวันสิ้นโลกจึงมีนิกเนมว่า “เพนตากอนลอยฟ้า” ที่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการลอยฟ้าเพื่อให้การทำงานของคณะรัฐบาล ประธานธิบดี รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เจ้าหน้าที่ระดับสูง และประธานเสนาธิการทหารร่วมยังคงดำเนินต่อไปได้

เครื่องบินวันสิ้นโลกถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสงครามเย็น โดยได้รับการออกแบบให้ทนต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากแรงระเบิดของนิวเคลียร์ มีรายงานว่าหน้าต่างของเครื่องบินโบอิง 747 E4-B Nightwatch ลำนี้มีลวดตะแกรงติดอยู่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งไม่ให้แตก ส่วนอุปกรณ์และระบบสายไฟก็ถูกทำให้แข็งแรง และยังมีระบบป้องกันความร้อนและนิวเคลียร์ในกรณีที่เกิดการระเบิด

“เครื่องบินวันสิ้นโลก” ศูนย์บัญชาการลอยฟ้าของสหรัฐหากเกิดสงครามนิวเคลียร์

ภายในตัวเครื่องแบ่งออกเป็น 3 ส่วน จุคนได้มากถึง 112 คน มีห้องนอน 18 ห้อง ห้องน้ำ 6 ห้อง ห้องบรรยายสรุป 1 ห้อง ห้องประชุม พื้นที่สำหรับทำงาน และส่วนของเจ้าหน้าที่ระดับสูง

เครื่องบินลำนี้สามารถบินได้นานถึง 12 ชั่วโมงโดยไม่ต้องหยุดพัก และด้วยความที่สามารถเติมน้ำมันได้กลางอากาศจึงทำให้อยู่บนน่านฟ้าได้นานหลายวัน โดยสถิติล่าสุดอยู่ที่ 35.4 ชั่วโมง

จุดที่แตกต่างจากเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันที่ตกแต่งอย่างหรูหราเน้นความสบายคือ การตกแต่งเครื่องบินลำนี้เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นหลัก โดยจะติดตั้งอุปกรณ์แบบอะนาล็อกแทนที่จะเป็นเครื่องมือดิจิทัลทันสมัย เพื่อให้เครื่องบินสามารถทำงานต่อไปได้หากถูกพลังแม่เหล็กไฟฟ้าจากระเบิดนิวเคลียร์รบกวน ทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์น้อยกว่า

ส่วนหัวของเครื่องบินมีส่วนที่นูนขึ้นมาเรียกว่า “ray dome” ที่บรรจุจานดาวเทียมหลายสิบจานและเสาอากาศสำหรับติดต่อสื่อสารกับเรือ เรือดำน้ำ และอากาศยานของสหรัฐได้ทุกที่ทั่วโลก

สื่อท้องถิ่นของอังกฤษคาดว่าเครื่องบิน 747 E4-B Nightwatch ลำนี้ ซึ่งดัดแปลงมาจากเครื่องบินโบอิง 747-200B มีมูลค่าราว 180 ล้านยูโร หรือราว 6,650 ล้านบาท

นอกจากนี้ ฝูงบินเครื่องบินวันสิ้นโลกของสหรัฐยังมีหลายลำ โดยอย่างน้อย 1 ลำต้องเตรียมพร้อมขึ้นบินตลอดเวลา อาทิ โบอิง E-6 Mercury เป็นฐานบัญชาการทางอากาศและถ่ายทอดการสื่อสารโดยใช้เครื่องโบอิง 707-320 โดยเครื่องรุ่น E-6A เข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐเมื่อเดือน ก.ค. 1989 แทนที่ EC-130Q

ขณะนี้ได้รับการโมดิฟายเป็นรุ่น E-6B เข้าประจำการเมื่อเดือน ต.ค. 1998 สามารถควบคุมขีปนาวุธข้ามทวีป Minuteman ด้วยระบบควบคุมการยิงขีปนาวุธทางอากาศ

และ Northrop Grumman E-10 MC2A ที่สร้างจากเครื่องบินพาณิชย์โบอิง 767-400ER

อย่างไรก็ดี แม้ว่าเครื่องบินวันสิ้นโลกจะไม่ใช่ความลับ แต่ก็ไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไร สมรรถนะที่แท้จริงของเครื่องบินในฝูงบินนี้อย่าง Nightwatch ลำนี้จึงไม่ค่อยมีคนทราบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหตุผลด้านความปลอดภัย

ขณะที่รัสเซียเองก็มีเครื่องบินวันสิ้นโลกเช่นกันคือ Ilyushin Il-80 หรือที่รู้จักกันว่า Maxdome

รายงานโดย ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ภาพ: wikipedia/Masteruploader