posttoday

จีนชิงดินแดนจากอินเดียได้ถึง 300 ตร.กม.

02 พฤศจิกายน 2563

แต่อินเดียยังไม่ยอมแพ้และส่งทหารเข้ามาปักหลักในจุดยุทธศาสตร์ท่ามกลางฤดูหนาวที่หฤโหดในพื้นที่

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่าในการเผชิญหน้าระหว่างกองทัพอินเดียและจีนในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ปรากฎว่าอินเดียสูญเสียการควบคุมพื้นที่ประมาณ 300 ตารางกิโลเมตรตามพื้นที่ภูเขาที่เป็นกรณีพิพาทของทั้งสองฝ่าย

เจ้าหน้าที่อินเดียที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดได้เปิดเผยเรื่องนี้ ซึ่งพื้นที่ที่จีนยึดไปได้มีขนาดประมาณห้าเท่าของเกาะแมนฮัตตัน (ในนิวยอร์ก) และตอนนี้ทหารจีนป้องกันไม่ให้ทหารอินเดียเข้ามาเฉียดกรายในพื้นที่ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ายังดำเนินต่อไป ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาได้มีการสร้างแนวรบใหม่อย่างมีประสิทธิภาพในพื้นที่หิมาลัยที่สูงเสียดฟ้าและมีอุณหภูมิเยือกแข็ง ขณะนี้กองทัพทั้งสองกำลังเตรียมพร้อมที่จะปักหลักในพื้นที่ดังกล่าวในช่วงฤดูหนาวซึ่งอุณหภูมิอาจลดลงถึง ติดลบ 40 องศา

“เราไม่เคยเห็นการขยายกำลังรบในฤดูหนาวนับตั้งแต่สงครามปี 1962” พลโท DS Hooda อดีตผู้บัญชาการกองทัพภาคเหนือของอินเดียกล่าว โดยเขาผู้นี้มีหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่ที่ทอดยาวข้ามเทือกเขาหิมาลัยไปยังจุดสูงสุดระหว่างอินเดียและจีนที่ความสูง 5,540 เมตร

“ทั้งสองประเทศกำลังปักหลักตั้งแนวรบ แสดงว่าท่าทีกำลังแข็งกร้าวและด้วยเหตุนี้เราจึงอาจจะเห็นความตึงเครียดที่ยืดเยื้อออกไปซึ่งอาจส่งผลที่คาดไม่ถึง”

การเดิมพันของทั้งสองฝ่ายคือการควบคุมด่านยุทธศาสตร์เช่น ช่องเขาคาราโครัม (Karakoram Pass) ซึ่งทอดตัวจากอินเดียไปยังเขตซินเจียงของจีน การยึดเส้นทางสายไหมโบราณอาจทำให้จีนเข้าถึงเส้นทางสู่ปากีสถานได้ง่ายขึ้นซึ่งเป็นพันธมิตรกับจีนมายาวนาน (และเป็นศัตรูกับอินเดีย) ช่วยเปิดเส้นทางการค้าไปยังประเทศในเอเชียกลางซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จของการริเริ่มโครงการ Belt and Road ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง

ในขณะที่อินเดียไม่เคยมีความเคลื่อนไหวมากนักในพื้นที่ชายแดนเป็นเวลาหลายปีหลังสงครามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ก็เริ่มสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ อินเดียเพิ่งเปิดอุโมงค์เจ็ดแห่งแรกในส่วนสำคัญของเทือกเขาหิมาลัยเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายของกองกำลังและยังสร้างถนนความยาว 255 กิโลเมตรที่เชื่อมต่อเมืองสำคัญในภูมิภาคไปยังช่องเขาคาราโครัม

แต่กระทรวงต่างประเทศของจีนบอกว่าโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียว่าเป็น "ต้นตอของความตึงเครียด" ระหว่างสองประเทศ

เเฉินจินอิง ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยความสัมพันธ์ประเทศและรัฐประศาสนศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยศึกษากิจการระหว่างประเทศเซี่ยงไฮ้ ( Shanghai International Studies University) กล่าวว่า“ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะมุ่งมั่นมากและทั้งสองฝ่ายไม่เต็มใจที่จะแสดงอาการอ่อนแอหรือท่าทางที่จะถอยเลย”

AFP PHOTO / Desha-Kalyan CHOWDHURY