posttoday

เคาท์ดาวน์เลือกตั้งสหรัฐ : ตัวช่วยทรัมป์มาแล้ว!

27 ตุลาคม 2563

อัพเดทความเคลื่อนไหวของการเลือกตั้งสหรัฐ ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะชี้ขาดว่าใครจะเป็นผู้นำมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกคนต่อไป

1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมีตัวแปรสำคัญเพิ่มเข้ามาเมื่อ เอมี โคนีย์ บาร์เรตต์ ถูกรับรองให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลฎีกาแทน รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ที่ถึงแก่กรรมเมื่อเดินกันยายนที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 52 ต่อ 48 ส่งผลให้สัดส่วนผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐสายอนุรักษนิยมถือเสียงมากกว่าสายเสรีนิยม 6 ต่อ 3 เสียง

2. การแต่งตั้งให้บาร์เรตต์ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมีวาระตลอดชีวิต และบาเรตต์จะมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางการเมืองสหรัฐหลังจากนี้ โดยเฉพาะการพิจารณาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะบาร์เรตต์มีทัศนะเอียงไปทางอนุรักษ์นิยม/รีพับลิกัน และได้รับการเสนอชื่อโดยทรัมป์และอนุมัติโดยสภาที่เสียงข้างมากมาจากพรรครีพับลิกัน

3. บาเรตต์ยืนยันว่าเธอจะทำงาน "โดยปราศจากความกลัวและการเลือกข้าง" ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเลือกเธอเข้ามาตอนนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและบั่นทอนความน่าเชื่อถือของศาลสูง เพราะกระบวนการแต่งตั้งครั้งนี้ควรเกิดขึ้นหลักจากการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยประชาชนบางส่วนมองว่าโดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้ศาลสูงสุดเป็นทางออกหากแพ้การเลือกตั้งต่อโจ ไบเดน

4. สมมติว่าการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐมีคะแนนเท่ากันและเรื่องต้องส่งไปให้ศาลสูงสุดชี้ขาด น้ำหนักก็จะเอียงไปทางทรัมป์ในทันที ซึ่งสถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อคราวเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2000 เมื่อ จอร์จ ดับเบิลยู บุช จากรีพับลิกันและ อัล กอร์ จากเดโมแครตต้องแย่งคะแนนกันในรัฐฟลอริดาจนต้องนับคะแนนใหม่ เรื่องจึงถึงศาลสูงสุด ปรากฎว่าคณะตุลาการที่มีเสียงอนุรักษ์นิยมมากว่าตัดสินให้บุชชนะไป 

5. ในเวลานี้โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเร่งหาเสียงอย่างหนัก โดยมีการลงพื้นที่หาเสียงวันละ 2-3 จุด ขณะที่โจ ไบเดนพยายามแสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มกันซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

6. ก่อนหน้านี้ทั้งคู่มีการหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งอาจเป็นรัฐชี้ชะตาของทั้งคู่ โดยทรัมป์ให้ความสำคัญเนื่องจากเป็นรัฐที่เขาชนะการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อ 4 ปีก่อน ในขณะที่ไบเดนมองว่าเป็นรัฐที่สำคัญของเขาเช่นกัน

7. ขณะนี้มีผู้ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วกว่า 64 ล้านคน