ฉันจะจำเธอไปในแบบนี้ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
มันเริ่มจากคำว่า “ไปเที่ยวรัสเซียกันไหม ไม่ต้องใช้วีซ่า”
โดย อุเทน เหมือนทัพ ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน
มันเริ่มจากคำว่า “ไปเที่ยวรัสเซียกันไหม ไม่ต้องใช้วีซ่า”
เพื่อนพ้องจึงตอบมาว่า “อยากไปเห็นทะเลสาบไบคาล อยากนั่งรถไฟสายทรานไซเบียเรีย”
หรือไม่ก็ “อยากไปเห็นแสงเหนือที่เมืองเมอร์มรังส์แบบไม่ต้องไปสแกนดิเนเวีย”
ทำให้เมืองมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะมีผู้คนไปเยือนสองเมืองใหญ่นี้จนล้นหลาม และคนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้วเท่านั้นเอง
ทว่าด้วยข้อจำกัดในเรื่องของวันเดินทาง ทำให้เส้นทางสายทรานไซบีเรียถูกตัดไป และเพราะช่วงเดือน ส.ค.ที่จะไปเป็นช่วงหน้าร้อนทำให้ไม่มีแสงเหนือให้มอง ดังนั้น ตัวเลือกที่เหลืออยู่จึงเป็นเมืองยอดฮิตที่มองข้ามไปตั้งแต่ความคิดแรก
ในที่สุดทริป 6 วันใน 2 เมือง (มอสโกและเซนต์ปีเตอร์ส) จึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับความลังเลใจไม่มากก็น้อย เมื่อได้ยินได้อ่านเรื่องโจรกรรมก่อนการเดินทาง แต่จะให้หันหลังกลับคงไม่ได้แล้ว
ความอลังการภายในมหาวิหารเซนต์ไอแซค
วันที่ 1
การเดินทางไปรัสเซียมีหลายเส้นทางทั้งบินตรงหรือแบบพักเครื่อง แต่เพราะเวลาที่ไปมีน้อย เราเลยเลือกเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่มอสโกไปลงที่สนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโว (SVO-Sheremetyevo International Airport) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สนามบินหลักของกรุงมอสโก
จากนั้นเดินทางต่อไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วยรถไฟนอน ถามว่าทำไมต้องไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก่อน นั่นเป็นเพราะคนรัสเซียส่วนมากจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร รวมถึงป้ายต่างๆ ที่พบเห็นก็จะเป็นภาษารัสเซียเกือบทั้งหมด แต่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีการใช้ภาษาอังกฤษมากกว่ามอสโก เพื่อการปรับตัวให้เที่ยวในรัสเซียได้อย่างมีความสุข นักท่องเที่ยวอย่างเราจึงมาปรับตัวที่เมืองนี้ก่อนเป็นลำดับแรก
สำหรับนักท่องเที่ยวส่วนมาก การพักที่ย่านการค้าและการท่องเที่ยวบนถนนเนฟสกี้ (Nevsky Prospekt) ถือว่าเป็นทำเลยอดนิยม เพราะใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน แหล่งช็อปปิ้ง ร้านอาหาร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่นเดียวกับพวกเราที่ได้จองที่พักบนชั้น 4 ของอาคารเก่าในย่านถนนเนฟสกี้
วันที่ 2
การเดินทางด้วยเครื่องบินกว่า 9 ชม. และการนอนบนรถไฟอีก 8 ชม. ทำให้ร่างกายอ่อนล้าแบบคาดไม่ถึง ดังนั้นวันแรกที่มาถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงทำได้เพียงเดินชมรอบๆ เมือง โดยหลังจากฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับโรงแรม (ที่นี่เช็กอินเวลา 13.00 น.) เรามีเวลาเกือบ 6 ชม. ก่อนเข้าที่พักในการหาอาหารเช้าและกาแฟแบบรัสเซีย
รวมถึงเดินชมเมืองสัมผัสวิถีชีวิตยามเช้าของผู้คนในย่านถนนเนฟสกี้ ซึ่งตึกสองข้างทางมีความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมของยุโรปทำให้ตื่นตะลึงได้ตลอดเส้นทาง
เราตกลงกันว่าจะไปเดินชมความงามของโบสถ์หยดเลือด (Church of our Savior on Spilled Blood) ที่โดดเด่นด้วยโดมรูปทรงหัวหอมคล้ายมหาวิหารเซนต์เบซิล (St. Basil’s Cathedral) ที่มอสโก โดยหวังลึกๆ ว่าจะได้เห็นภาพแสงแดดตอนเย็นกระทบกับยอดโดมเหมือนภาพโปสเตอร์
แต่ก็คงเป็นเพราะช่วงเวลาของฤดูร้อนจึงทำให้เวลาสองทุ่มก็ยังคงเห็นแสงแดด การรอให้แสงแดดอ่อนลงในตอนสามทุ่ม หรือเทียบได้กับเวลาเกือบตีหนึ่งของเมืองไทย ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนจึงสั่งการให้กลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้นแทน
การแสดงของชาวรัสเซียที่มีให้เห็นตามท้องถนน
วันที่ 3 จำไม่รู้ลืม
เวลาที่ต่างกันทำให้ร่างกายตื่นเองอัตโนมัติในตอน 7 โมงเช้าของรัสเซีย และต้องโร่รีบหาอาหารเช้า ซึ่งทำให้ค้นพบว่า อาหารเช้าแบบรัสเซียไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีสำหรับคนไทยที่ชอบรับประทานอาหารแบบครบหมู่ เพราะแค่ข้าวโอ๊ตต้มกับนมและกาแฟหนึ่งแก้ว คงไม่สามารถทำให้กระเพาะเติมเต็มได้
ร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พักจึงดูจะเป็นร้านอาหารเช้าที่ทำให้เราอิ่มท้องได้มากกว่า แต่ภาษารัสเซียที่ฉลากอาหารก็ทำให้เราต้องใช้ความพยายามถึง 4 ครั้ง กว่าจะสามารถเลือกไส้กรอกที่กินได้ และความพยายามอีก 3 ครั้งกว่าจะได้กินนมสดแทนโยเกิร์ต
เมื่อท้องอิ่ม เท้าก็มีแรงในการเดินทาง โดยวันนี้เราใช้การเดินด้วยเท้าเป็นหลัก ตั้งต้นจากถนนเนฟสกี้เดินตามกูเกิลแมปไปยังสถานที่ที่ใกล้ที่สุด นั่นคือ ป้อมปีเตอร์ แอนด์ พอล (Peter and Paul Fortress) ภายในมีโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ คุก และป้อมปราการริมแม่น้ำเนวา
ถัดมาอีกฝั่งของแม่น้ำจะเห็นอาหารรูปทรงสีเขียว นั่นคือ พระราชวังฤดูหนาวเฮอร์มิเทจ (The Hermintage) ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสมบัติล้ำค่ากว่า 3 ล้านชิ้นทั่วโลก แต่การจะเข้าชมได้นั้นต้องต่อคิวซื้อตั๋วและรอคิวเข้าอีกหลายชั่วโมง
โดยด้านหลังของพระราชวังเป็นจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งมีอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ เหนือกองทัพนโปเลียนตั้งอยู่ (Alexander Column) ในวันที่ไปมีการจัดวางปืนใหญ่รอบจัตุรัส และมีเหล่าทหารคอยยืนเคียงข้าง ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพหมีขาวเป็นอย่างมาก
ปิดท้ายวันที่ 3 ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ณ มหาวิหารเซนต์ไอแซค (St.Isaac Cathedral) ภายในบอกเล่าเรื่องราวผ่านภาพเขียนและงานปูนปั้นอันวิจิตรบรรจง อีกทั้งยังมีการจัดบางส่วนสำหรับการแสดงความเคารพต่อพระเยซู และในระหว่างทางก่อนกลับที่พัก เราได้พบกับอาคารทรงโค้งครึ่งวงกลม มียอดโดมตรงกลาง อาคารถูกรองรับด้วยเสาโรมันขนาดใหญ่ บริเวณสี่แยกใจกลางเมือง ซึ่งมาทราบภายหลังว่าที่นี่คือ มหาวิหารคาซาน (Kazan Cathedral) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมหาวิหารที่มีความสำคัญของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วย
ความเหนื่อยล้าจากการเดินเท้าทั้งวัน การได้รับประทานอาหารอร่อยๆ ดูจะเป็นการเพิ่มพลังให้ในวันถัดไปได้ดี พวกเราจึงเลือกร้านอาหารจีนที่อยู่ไม่เกิน 5 ช่วงตึกจากที่พักเป็นจุดพักท้อง ความอร่อยของอาหารที่คุ้นลิ้นทำให้ความเหนื่อยล้าบรรเทาลงไป
จากนั้นก่อนกลับเข้าบ้าน เราได้แวะร้านกล้องเพื่อซื้อเมมโมรี่การ์ดเพิ่มไว้สำหรับถ่ายภาพพระราชวังแคทเธอรีนในวันพรุ่งนี้ ทว่า ณ นี่แห่งนี้กลับเป็นจุดที่ทำเราจดจำถนนเส้นนี้อย่างไม่มีวันลืม
ตลอดเวลาที่เราเดินทางในรัสเซีย พวกเราทุกคนต่างระมัดระวังตัวตลอดเวลา ไม่ทำตัวเป็นเป้าสายตา พยายามอยู่เป็นกลุ่มและคอยสอดส่องคนแปลกหน้าทุกย่างก้าวที่เดิน แต่มือสมัครเล่นอย่างเราหรือจะสู้มืออาชีพได้ เพื่อนที่เป็นตากล้องสะพายกล้องและเลนส์อีกตัวหนึ่งไว้ภายใต้เสื้อคลุมตลอดเวลา แต่ไม่แคล้วถูกกลุ่มมิจฉาชีพกว่า 10 คน เบียดหน้าประตูร้านขายกล้องเพื่อขโมยเลนส์ที่มันหมายตาไว้!
เพื่อนแปลกใจถึงการเบียดเสียดที่ไม่ปกติขนาดนั้น จึงรีบสำรวจเลนส์ใต้เสื้อคลุม แต่ก็เป็นไปตามคาด พวกมันได้เลนส์ไปแล้ว ซึ่งถึงแม้จะรู้ตัวและพยายามวิ่งตาม แต่การไปหาเรื่องกับชายฉกรรจ์เกือบ 10 คนคงไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะเมื่อเพื่อนวิ่งตาม พวกมันก็ตรงเข้ามาล็อกคอเพื่อยื้อเวลาให้คนอื่นๆ หนีไปได้ จังหวะนั้นทุกคนคิดแค่ว่าอย่าทำอะไรเพื่อนเรา เพราะถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นก็ไม่รู้ว่าอะไรจะตามมา เพราะคนรอบข้างกลับได้แต่มองและไม่กล้าให้ความช่วยเหลือ
ครึ่งชั่วโมงที่เราแน่วนิ่งและรวบรวมสติกันว่าควรทำอย่างไรต่อไป การโทรศัพท์หาตำรวจท้องที่ดูไม่เป็นผลเท่าไร เพราะภาษาที่เป็นอุปสรรค ดังนั้นการติดต่อสถานกงสุลดูจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เพราะอย่างน้อยจะได้มีคนที่เป็นสื่อกลางระหว่างเรากับตำรวจ แต่เพราะวันที่เกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ สถานกงสุลหยุด วันรุ่งขึ้นเป็นวันชดเชยวันหยุดราชการ กว่าจะสามารถติดต่อสถานทูตได้ก็อีก 2 วันถัดมา
อย่างไรก็ตาม ในความโชคร้ายยังพอมีความโชคดี (หรือเปล่า) ที่เราได้ทำประกันการเดินทางไว้ จึงได้ติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องและแจ้งถึงสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการเคลมประกัน ได้แก่ บันทึกประจำวัน และหนังสือยืนยันจากโรงแรม แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่ทราบว่าของหายจะได้คืนหรือไม่ แต่ความรู้สึกกังวลใจไม่สามารถคืนให้ใครได้แน่นอน
โบสถ์หยดเลือด
วันที่ 4
"The show must go on." ไหนๆ ของก็หายไปแล้ว ใจคนอย่าหายไปด้วยเลย วันนี้สถานกงสุลก็ยังไปไม่ได้ เราจึงเดินหน้าตามแผนการที่วางไว้ โดยจะไปชมพระราชวังที่ไม่ปิดในวันจันทร์ ซึ่งก็คือ พระราชวังแคทเธอรีน (Catherine Palace)
มีหลายคำแนะนำถึงการเข้าชมพระราชวังแคทเธอรีนและห้องอัมพันที่เมืองพุชคินในฤดูร้อนว่า จะต้องต่อคิวเข้าชมนานกว่าฤดูหนาว เพราะที่นี่ถือเป็นพระราชวังฤดูร้อนจึงมีความสวยงามมาก เมื่อพระราชวังสะท้อนกับแสงแดด โดยการเดินทางไปพระราชวังแคทเธอรีนนั้นไม่ยาก เพียงแค่นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Moskovskaya แล้วต่อด้วยรถบัสหรือรถตู้ที่จอดอยู่หลังรูปปั้นเลนิน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึง
การเข้าชมต้องซื้อตั๋วเข้าชม 2 ที่ คือ ที่ประตูทางเข้าเป็นบัตรสำหรับชมสวน ส่วนบัตรชมพระราชวังต้องเดินต่อไปซื้อข้างในอีกครั้งหนึ่ง แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่วันของพวกเราอีกครั้ง เพราะต้องยืนต่อคิวเพื่อเข้าชมเป็นเวลาเกือบ 3 ชม.ท่ามกลางแสงแดด
เมื่อถึงคิวเข้าไปก็ต้องเจอกับนักท่องเที่ยวเต็มไปทุกพื้นที่ จนทำให้หาความประทับใจแทบไม่เจอ แต่กระนั้นก็มีห้องที่ทำให้เราต้องตื่นตะลึงกับความงดงามอยู่ นั่นคือ ห้องอำพัน ทุกองค์ประกอบตั้งแต่เพดาน ผนัง และกระจกถูกประดับด้วยอำพันสีทองอร่าม ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวของโลก
วันที่ 5
การไปสถานกงสุลจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เราคิดอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นตามที่คาดคิด เพราะท่านกงสุลและเจ้าหน้าที่ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ตั้งแต่รับฟังเรื่องราว ให้คำแนะนำ พาไปสถานีตำรวจ ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการให้ปากคำ รวมถึงติดตามผลระหว่างที่ยังอยู่รัสเซีย จนกระทั่งเราได้หนังสือแจ้งความจากสถานีตำรวจมาไว้ในมือ ส่วนหนังสือรับรองจากโรงแรมก็ได้รับในเย็นวันนั้น ที่เหลือจึงมีแค่การกลับไปเมืองไทยทำเรื่องเคลมกับประกันเท่านั้น
เวลาที่เหลือช่วงเย็น เราจึงตกลงกันว่าจะไปล่องเรือแม่น้ำเนวา เพื่อผ่อนคลายกับเรื่องที่เจอมาทั้งวัน โดยการล่องเรือตอนเย็นท่ามกลางอุณหภูมิ 15 องศา และสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นับเป็น 1 ชม.ที่สามารถเยียวยาความเจ็บปวดจากการถูกขโมยของได้เป็นอย่างดี
พวกเรายินดีจ่ายเงินเพิ่มจาก 600 รูเบิล เป็น 1,000 รูเบิล เพื่อให้ได้นั่งเรือส่วนตัว นายเรือที่พูดได้แต่ภาษารัสเซียพยายามสื่อสารผ่านภาษามือ พาเราล่องเรือผ่านคลองเล็กคลองน้อย บ้างก็มุดลอดสะพาน ผ่านโบสถ์ และอาคารเก่าแก่จนกระทั่งไปออกแม่น้ำเนวา จนทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองนี้จึงได้รับการขนานนามว่า เวนิสแห่งยุโรปตอนเหนือ
ตลาดผลไม้ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
วันที่ 6
วันสุดท้ายก่อนเทกออฟสู่มอสโกในตอนค่ำ เราใช้เวลาที่เหลือในช่วงเช้าเดินทางไป พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof Palace) หรือพระราชวังฤดูร้อนที่ได้รับการออกแบบสไตล์กึ่งเรเนสซองส์ บาโรค และคลาสสิก มีลานน้ำพุขนาดใหญ่ยักษ์อาบด้วยสีทองหันหน้าออกสู่อ่าวฟินแลนด์ ซึ่งน้ำพุนี้จะเปิดตลอดฤดูร้อนแต่จะปิดในฤดูหนาว
ภายในพระราชวังมีการแสดงภาพวาดสีน้ำมัน จิตรกรรมปูนปั้น ของใช้ เครื่องประดับ เครื่องเรือน ตลอดจนเครื่องกระเบื้องเคลือบจากอังกฤษ ซึ่งสามารถใช้เวลาทั้งวันในการเดินชมพระราชวัง ลานน้ำพุ และวิวรอบอ่าวฟินแลนด์ แต่สำหรับพวกเราแค่ครึ่งวันก็เพียงพอแล้ว เพราะตอนค่ำเราต้องเตรียมตัวขึ้นรถไฟนอนกลับไปพบกับความเป็นรัสเซียขนานแท้และดั้งเดิมที่มอสโก
หลายคนอาจมีคำถามว่า สรุปแล้วเลนส์ได้คืนไหม หรือสามารถเคลมประกันได้ไหม ในเมื่อเราเตรียมเอกสารครบถ้วนตามที่เขาต้องการด้วยความลำบากแล้ว แต่อนิจจัง พวกเราลืมไปว่าในประกันมักมีดอกจันอยู่ตรงข้อความสำคัญให้ไปอ่านต่อ
โชคร้ายจากรัสเซียจึงได้ตามหลอกหลอนถึงกรุงเทพฯ เพราะเลนส์ที่หายไปนั้นไม่ได้รับความคุ้มครองความสูญหายจากประกัน ตามที่ได้ระบุไว้ในดอกจันซึ่งอยู่ในเอกสารแนบ 40 กว่าหน้า!
ภาษารัสเซียอาจจะยากแก่การจำเพราะมีความซับซ้อนในเรื่องภาษา แต่ถ้าชื่อถนนบางเส้นของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เชื่อว่า มันจะคงอยู่ในความทรงจำของพวกเราไปอีกนาน เพราะทุกครั้งที่เดินผ่านถนนเนฟสกี้เราจะรู้สึกหนาวขึ้นมาทุกครั้งแม้ว่าเป็นฤดูร้อนก็ตาม
.............ใต้ภาพ............
00 รูปเปิด ภาพสะท้อนน้ำของพระราชวังฤดูหนาวเฮอร์มิเทจ
01 ความอลังการภายในมหาวิหารเซนต์ไอแซค
02 การแสดงของชาวรัสเซียที่มีให้เห็นตามท้องถนน
03 โบสถ์หยดเลือด
04 ตลาดผลไม้ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
05 ตึกเก่าย่านถนนเนฟสกี้
06 ทิวทัศน์แม่น้ำเนวา
07 มหาวิหารคาซาน
08 เรือใบแล่นลมในแม่น้ำเนวา
09 นักท่องเที่ยวหนาแน่นในพระราชวังแคทเธอรีน
10 แสงยามค่ำที่ถนนเนฟสกี้
11 ลานน้ำพุด้านหน้าพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ
12 ล่องเรือบนแม่น้ำเนวาผ่านพระราชวังฤดูหนาว