ชิโกคุ ครั้งแรก (4)
เรากำลังนั่งรถบัสลงไปทางตอนใต้ของจังหวัดเอฮิเมะ เพื่อไปยังอาณาจักรแห่งส้มยูสุ แหล่งปลาคัทสึโอะย่างฟาง ดินแดนที่พร้อมพรั่งไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม
เรากำลังนั่งรถบัสลงไปทางตอนใต้ของจังหวัดเอฮิเมะ เพื่อไปยังอาณาจักรแห่งส้มยูสุ แหล่งปลาคัทสึโอะย่างฟาง ดินแดนที่พร้อมพรั่งไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม จากตัวเมืองมัตสึยามะใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็จะถึงจุดแวะพักข้างทาง จากนั้นก็วิ่งตรงเข้าสู่จังหวัด Kochi ทางตอนใต้ของภูมิภาคชิโกคุ โคจิมีชื่อเดิมว่า โทสะ ซึ่งมาจากตำนานการเกิดแผ่นดินญี่ปุ่น โดยมีความหมายว่าเป็นประเทศของชายผู้กล้าหาญ และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kochi
โคจิเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ภายในจังหวัดแบ่งออกเป็น 3 โซน โดยมีตอนกลางเป็นศูนย์กลางของจังหวัด มีปราสาทโคจิ ตลาดฮิโรเมะ และสถานที่เที่ยวธรรมชาติ อย่าง แม่น้ำนิโยโดะ ถ้ำหินปูนริวงะโด หรือการชมวาฬอุสะ โซนตะวันออกจะอุดมไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ มีของดังอย่างส้มยูสุ มีสถานที่ท่องเที่ยวเน้นธรรมชาติ อย่างเช่น ศูนย์อุทยานธรณีโลก แหลมมุโรโตะ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และเป็นแหล่งเล่นเซิร์ฟบอร์ด ส่วนโซนตะวันตกเป็นที่ตั้งของแม่น้ำชิมันโตะแม่น้ำสายยาวที่สุดในชิโกคุ มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สามารถล่องเรือชมวาฬโอกาตะได้ และยังมีภูเขาเท็นกุไฮแลนด์ที่จะเปลี่ยนเป็นลานสกีในฤดูหนาว
พักสายตาได้หนึ่งตื่นก็มาถึงจุดพักรถ Tengu no go sansan (天空の郷さんさん) เป็นจุดพักรถที่เหมือนซูเปอร์ท้องถิ่นขนาดย่อม ไม่ว่าคนท้องถิ่นหรือคนจากที่อื่นต่างก็มาจับจ่ายซื้อของที่นี่ นอกร้านมีโซนตกแต่งบ้าน ขายต้นไม้หลากหลายพันธุ์ ทั้งดอกไม้สวยงามจนไปถึงตู้ปลา พอเข้ามาในร้านมีทั้งของสดของแห้ง พืชผักผลไม้ ขนม ของฝากท้องถิ่น รวมถึงของใช้ หรือพวงกุญแจกระจุกกระจิกน่ารักๆ ก็มีขาย ก่อนเดินขึ้นรถเหลือบไปเห็นตู้เซียมซี 100 เยน ใบเซียมซีไม่เหมือนปกติทั่วไป เป็นกระดาษสีเหลืองลายแมสคอตส้มประจำจังหวัดเอฮิเมะ คนญี่ปุ่นก็ช่างคิด เอาเซียมซีมาบวกกับความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัด กลายเป็นจุดขายที่สร้างความน่าสนใจเพิ่มขึ้น แน่นอนฉันไม่พลาดหยอดเหรียญเสี่ยงเซียมซีติดไม้ติดมือมาด้วย สำหรับฉันแล้วการสะสมเซียมซีเป็นเหมือนธรรมเนียมเวลามาญี่ปุ่น ก็เหมือนกับหลายๆ คนที่สะสมกาชาปองหรือแก้วกาแฟร้านดัง ถึงแม้ว่าเซียมซีเหล่านั้นกลับมาจะกลายเป็นขยะก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังได้ลุ้นกับคำทำนาย
รถวิ่งตัดผ่านภูเขาน้อยใหญ่ลูกแล้วลูกเล่า โดยมีแม่น้ำทอดยาวอยู่ตลอดทาง ในบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติขุนเขาป่าเขียวที่อุดมสมบูรณ์ เรากำลังมุ่งหน้าสู่หุบเขา Nakatsu ในตำบล Niyodogawa เพื่อชมความงดงามของน้ำตก Uryu ด้านหน้าบริเวณทางเข้าน้ำตกมีร้านค้าอาคารไม้ตั้งอยู่ มีสะพานขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างอีกฝั่งซึ่งเป็นโรงแรม ภายในร้านค้ามีขายผักผลไม้ท้องถิ่น เครื่องดื่ม ขนมกรุบกริบ สามารถซื้อหาของไว้เป็นเสบียงระหว่างเดินเที่ยวน้ำตกได้ ก่อนเดินไปยังทางเข้าน้ำตก มีหินขนาดใหญ่ที่ถูกกัดเซาะจากแม่น้ำ มีสะพานข้ามทางน้ำเป็นสะพานคอนกรีตแข็งแรงเพื่อป้องกันความเชี่ยวกราดของกระแสน้ำในฤดูน้ำหลาก
ระหว่างทางมีรูปปั้นเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้ง 7 องค์ ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ โดยจุดแรกจะเจอกับ Ebisu (เทพแห่งการประมง) ถัดไปเป็น Bishamonten (เทพนักรบ) Benzaiten (เทพแห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์) Daikoku (เทพแห่งความมั่งคั่ง) Fukurokuju (เทพแห่งความร่ำรวย ความสุข และอายุยืน) Jurojin (เทพแห่งปัญญา) และ Hotei Sama (เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และความสุข) ส่วนตรงน้ำตกอุริวก็มีรูปปั้นเทพเช่นกัน แต่เป็นเทพ Fudomyo-o ซึ่งเป็นเทพที่ปกป้องคุ้มครองพุทธศาสนาตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายชินงนของญี่ปุ่น บนเส้นทางเดินระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ถึงน้ำตก ระหว่างทางมีความหลากหลายไม่น่าเบื่อ ต้องผ่านทั้งโขดหินขนาดใหญ่ บ้างก็เป็นบันไดไม้ บ้างก็เป็นสะพานคอนกรีต บ้างก็พื้นดินเฉอะแฉะที่ต้องระวังไม่ให้ลื่น แอบคิดเล่นๆ ว่าเส้นทางเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนชีวิตของคนเรา แต่ละช่วงชีวิตก็มีดีบ้าง ขรุขระบ้างปะปนกันไป
เราเดินผ่านเส้นทางต่างๆ จนมาถึงน้ำตกอุริว หรือเรียกว่า Raindragon เป็นจุดที่น้ำตกไหลลงมาจากหุบเขานาคัตสึ ภาพน้ำตกที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ฉันจินตนาการเห็นเป็นภาพคิงคองกล้ามใหญ่ทำหน้าบึ้งตึงนั่งหันข้างอยู่ จากจุดนี้มองลงไปข้างล่างแอบรู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย เบื้องล่างเป็นพื้นลาดเอียงไล่ลงมามีทางน้ำไหลเซาะผ่านหินก้อนใหญ่ หุบเขานาคัตสึมีชื่อเสียงเรื่องจุดชมใบไม้เปลี่ยนสี และความสวยงามของน้ำสีเขียวมรกต ถ้าเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่คงสวยงามมากแน่ๆ ท่ามกลางใบไม้สีส้มแดง มีสีขาวของก้อนกินตัดกับพื้นน้ำสีเขียวมรกต เป็นเหมือนงานศิลปะที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติ การได้ท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ นอกจากได้สัมผัสความสวยงาม ได้อ้าแขนรับความสงบไปปลดเปลื้องความวุ่นวาย การเที่ยวลักษณะนี้ทำให้เราฉุกคิดได้ว่า เราไม่ได้ยิ่งใหญ่เหนือไปกว่าธรรมชาติแต่อย่างใด เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติทั้งนั้น
หลังจากที่ใช้กำลังขาเดินไปเดินกลับ ก่อนขึ้นรถบัสจึงหาซื้อของกินจุบจิบเรียกน้ำย่อยเสียหน่อย ได้ส้มยูสุจากร้านค้ามาลองชิม อร่อยสดชื่นเรียกน้ำย่อยมื้อกลางวันได้ดีทีเดียว พอพวกเราทราบว่ามื้อกลางวันนี้จะเป็นข้าวหน้าปลาไหล ทุกคนต่างดีใจอยากไปให้ถึงโดยเร็ว Taishouken (大正軒) เป็นร้านท้องถิ่นเก่าแก่ในเมือง Sakawa มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความอร่อย ที่ต้องจองคิวล่วงหน้าเท่านั้นถึงจะได้ลิ้มลอง ร้านที่ดัดแปลงจากบ้านเรือนสมัยก่อน มองเผินๆ เหมือนบ้านคนญี่ปุ่นตามต่างจังหวัดทั่วไป เป็นบ้าน 2 ชั้น ภายในมีที่นั่งไม่เยอะ นั่งได้สักพักอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ เซตที่อยู่ตรงหน้ามีข้าวกล่อง เปิดออกมาเป็นข้าวหุงสุกที่อัดแน่นเต็มกล่อง วางด้วยเนื้อปลาไหลย่างซอส เสิร์ฟคู่กับน้ำซุป และผักเครื่องเคียงเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ลองกินไปคำแรก โอ้โห! ตาลุกวาวส่องประกายวิ้งๆ ปลาไหลย่างซอสเนื้อนุ่มหอมกรุ่น เนื้อปลาไหลอบอวลไปด้วยกลิ่นซอส รสชาติหวานกำลังดี ได้ข้าวญี่ปุ่นนุ่มๆ ร้อนๆ ยิ่งทำให้ละมุนกลมกล่อมเข้ากันลงตัว หรือจะเพิ่มรสจัดจ้านด้วยพริกไทยท้องถิ่น Niyodo sansho (仁淀川山椒) ที่ปลูกในพื้นที่อากาศเย็นบริเวณแม่น้ำนิโยดะ ออกรสเผ็ดนิดๆ ซ่าหน่อยๆ อร่อยขึ้นเยอะ
มื้อนี้ต้องขอยกนิ้วให้ แต่เสียอรรถรสไปหน่อยตรงที่ เนื้อปลาไหลมีก้างบริเวณขอบเหลืออยู่เยอะจึงต้องคอยดึงก้างออก ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะลงตัวสุดๆ หากใครอยากมาพิสูจน์ความอร่อย สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Sakawa แล้วเดินมาที่ร้านได้ ถ้าจะให้สะดวกแนะนำเป็นเช่ารถขับดีกว่า แวะไปเที่ยวน้ำตกก่อนแล้วค่อยมาร้านข้าวหน้าปลาไหลก็ได้ ใช้เวเลาพียง 30 นาทีเท่านั้น