posttoday

ไปเที่ยวเมืองเว้... โอเคไปเลย

14 กรกฎาคม 2561

คงมีคนอยู่ไม่น้อยที่เห็นชื่อภาษาอังกฤษของเมืองนี้บนแผนที่ครั้งแรก แล้วออกเสียงว่าเมือง “หูย” เพราะเขาสะกดด้วยอักษร “H-U-E”

คงมีคนอยู่ไม่น้อยที่เห็นชื่อภาษาอังกฤษของเมืองนี้บนแผนที่ครั้งแรก แล้วออกเสียงว่าเมือง “หูย” เพราะเขาสะกดด้วยอักษร “H-U-E” แต่อันที่จริงแล้ว ต้องออกเสียงว่า “เหว” (เสียงควบกล้ำ) อย่างไรก็ตาม ชื่อเมืองนี้ถูกเรียกโดยคนไทยว่า “เว้” มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้น ถ้าออกเสียง “เว้” จะช่วยให้คนไทยเข้าใจได้ง่ายขึ้น

จากเมืองไทยไปเมืองเว้ ก็ไปได้ทั้งทางรถและทางเครื่องบิน ถ้าเป็นทางรถยนต์ก็ต้องไปเริ่มต้นที่ จ.มุกดาหาร นั่งรถบัสข้ามไป สปป.ลาว จากแขวงสะหวันนะเขต แล้ววิ่งตรงไปถึงเมืองเว้เลย ใช้เวลา 1 วัน แต่ถ้าจะอยากได้แบบสบายกว่านั้น ก็สามารถนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ด่าหนัง แล้วต่อรถบัสหรือรถไฟไปอีกประมาณ 100 กม. ก็ถึงเมืองเว้แล้ว ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวเว้ ก็มักจะผนวกเอาเมืองด่าหนัง (DaNang) และเมืองฮอยอัน (HoiAn) เข้าไปในโปรแกรมท่องเที่ยวด้วย

เว้ ได้รับฉายาว่าเป็นนครแห่งจักรพรรดิ เพราะว่าที่นั่นเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม โดยสมัยนั้นมีจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองประเทศ และได้สร้างพระราชวังขึ้นที่เมืองเว้ รวมทั้งสุสานที่ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิหลายประองค์ก็อยู่ที่เมืองเว้เช่นกัน

พระราชวังต้องห้ามแห่งเมืองเว้ (Imperial City) ถอดแบบมาจากพระราชวังต้องห้าม (Imperial Palace หรือ Forbidden City) หรือ “กู้กง” (Gu Gong) ที่อยู่กรุงปักกิ่ง เพราะว่าในยุคนั้น จักรพรรดิเวียดนามได้รับอิทธิพลโดยตรงจากจีน อย่างไรก็ตาม พระราชวังต้องห้ามแห่งเมืองเว้ ก็ยังมีขนาดเล็กกว่าพระราชวังวังต้องห้าม ที่กรุงปักกิ่ง อยู่มากทีเดียว

ไปเที่ยวเมืองเว้... โอเคไปเลย

ในช่วงสงครามเวียดนาม พระราชวังแห่งนี้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าสงครามจะยุติลง พระราชวังแห่งนี้ไม่ได้ถูกบูรณะในทันที เพราะผู้นำระบบคอมมิวนิสต์ (ที่ขึ้นมาแทนที่) มีความเชื่อว่า สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของระบบศักดินาที่ขัดแย้ง
กับแนวคิดสังคมนิยม แต่ต่อมาภายหลังเมื่อแนวคิดทางการเมืองเปลี่ยนไป และรัฐบาลเล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว จึงเริ่มมีการบูรณะซ่อมแซม และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่คนไปเที่ยวเมืองเว้จะต้องไม่พลาด

พระราชวังต้องห้ามเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการเมืองเว้ (Citadel of Hue) ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสี่เหลี่ยม ยาวด้านละ 2 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยคูน้ำทุกด้าน ภายในกำแพงมีส่วนที่เป็นวัด สระบัว สวนดอกไม้ และพระราชวังที่มีชื่อภาษาเวียดนามว่า “ตือกามแทงห์” (Tu Cam Thanh ภาษาอังกฤษเรียกว่า Purple Forbidden City) ซึ่งเป็นพื้นที่สงวนไว้สำหรับจักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์เท่านั้น

แม้ว่าอาคารบางส่วนจะพังทลายไปในช่วงสงคราม จนเกินกว่าจะสร้างกลับคืนได้ แต่เห็นจากส่วนที่เหลือก็พอจินตนาการได้ว่า สถานที่แห่งนี้เคยยิ่งใหญ่และงดงามเพียงใด

อีกหนึ่งสถานที่ซึ่งได้รับอิทธิพลจากจีนทั้ง 100% เช่นกัน นั่นก็คือสุสานจักรพรรดิมินห์หม่าง (Tomb of Minh Mang) จักรพรรดิที่ได้รับการยกย่องว่าทรงยึดมั่นในแบบแผนการปกครองแบบจีน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก นอกจากนั้น ยังเป็นยุคที่มีการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินให้มีเป็นแบบศูนย์กลางอำนาจ เป็นยุคที่มีนโยบาย ห้ามคนรวยกว้านซื้อที่ดิน แถมยังกำหนดว่า คนร่ำรวยที่มีที่ดินมาก จะต้องยกที่ดิน 1 ใน 3 ของตนให้กับชุมชน เพราะต้องการให้มีการใช้พื้นที่ในทางเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นอีกยุคแห่งความรุ่งเรืองของราชวงศ์เวียดนาม

ไปเที่ยวเมืองเว้... โอเคไปเลย

อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็เป็นที่จดจำว่า มีส่วนทำให้เวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส เพราะนโยบายต่อต้านตะวันตก และปราบปรามพวกนอกศาสนาอย่างรุนแรง ซึ่งรัชสมัยพระเจ้ามินห์หม่าง เป็นยุคที่ห้ามมิชชันนารีเข้ามาในเวียดนาม มีการกดขี่ทางศาสนา รวมทั้งมีการจับกุมและประหารชีวิตมิชชันนารี จนฝรั่งเศสใช้เป็นหนึ่งเหตุผลประกอบในการยึดเวียดนามเป็นเมืองขึ้นในเวลาต่อมา

สุสานของจักรพรรดิมินห์หม่าง ตั้งอยู่นอกเมือง ห่างจากตัวเมืองเว้ออกมาประมาณ 12 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ยของจีนแท้ๆ เลย คือ ด้านหน้าเป็นน้ำ ด้านหลังเป็นเขา ส่วนพื้นที่ของสุสานก็กว้างใหญ่ เสมือนหนึ่งจะเป็นตำหนักย่อมๆ เลยทีเดียว เพราะด้านนอกถูกล้อมรอบด้วยกำแพง ส่วนด้านในก็มีประตูถึง 3 ชั้น แถมยังมีพื้นที่สวน สระน้ำ วัด และหลุมศพพระเจ้ามินห์หม่าง แต่ว่าพื้นที่ด้านในสุด ซึ่งเป็นหลุมศพนั้นจะไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม

สุสานที่ 2 ซึ่งแลดูมีความร่มรื่นกว่า ตั้งอยู่ในเมือง ห่างจากพระราชวังต้องห้ามไม่มาก เรียกว่าสุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก (Tomb of Tu Duc) ผู้ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 36 ปี พระองค์มีมเหสีและสนมกว่า 100 คน แต่กลับไม่มีรัชทายาท

ไปเที่ยวเมืองเว้... โอเคไปเลย

ว่ากันว่าจักรพรรดิทรงออกแบบสุสานแห่งนี้เองเกือบทั้งหมด โดยใช้แรงงานและเงินภาษีจำนวนมาก ทำให้เกิดการต่อต้านขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะการก่อสร้างยังคงดำเนินต่อไป และพระองค์ก็ยังทรงใช้พื้นที่บริเวณสุสานแห่งนี้เป็นสถานที่อ่านหนังสือและพักผ่อน

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ พระศพของพระองค์ไม่ได้อยู่ในสุสานแห่งนี้ แต่อยู่ในอีกที่หนึ่ง ซึ่งยังคงเป็นความลับ จนถึงปัจจุบัน ว่ากันว่า คนสร้างหลุมศพและคนทำพิธีกว่า 200 คนถูกตัดหัวหลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว เพื่อเป็นการรักษาความลับไว้

อันที่จริงแล้วมีสุสานของจักรพรรดิอยู่อีกหลายแห่งในเมืองเว้ แต่มีอยู่เพียง 7 แห่งเท่านั้น ที่มีความสำคัญ ซึ่ง 3 ใน 7 แห่ง ได้ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดก็คือ สุสานจักรพรรดิมินห์หม่าง สุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก และสุสานจักรพรรดิไคดิงห์

สุสานจักรพรรดิไคดิงห์ (Tomb of Khai Dinh) มีทั้งความสวยงาม แปลกตา และมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสุสานนี้ในส่วนของความสวยงามนั้น ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะจักรพรรดิไคดิงห์ ใช้ทั้งเงินทองและแรงงานจำนวนมาก เพื่อให้ได้สุสานที่สวยงามแปลกตาที่สุด แต่พระองค์ก็ไม่ได้มีโอกาสเห็นสุสานแล้วเสร็จ เพราะเสด็จสวรรคตเสียก่อน อย่างไรก็ตาม สุสานแห่งนี้ก็ถูกสร้างจนแล้วเสร็จ โดยจักรพรรดิเบ๋าได่ (Bao Dai) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม เมื่อรวมเวลาก่อสร้างทั้งหมดแล้ว สุสานแห่งนี้จึงใช้เวลาก่อสร้างนาน 11 ปีเลยทีเดียว

จักรพรรดิไคดิงห์ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ของประชาชนนัก เนื่องจากการรีดภาษี และฝักใฝ่รัฐบาลฝรั่งเศสอย่างชัดเจน

ไปเที่ยวเมืองเว้... โอเคไปเลย

จนกระทั่งถูกมองว่า พระองค์เป็นเพียงพนักงานกินเงินเดือนของรัฐบาลฝรั่งเศสเท่านั้น และด้วยความใกล้ชิดกับฝรั่งเศส จักรพรรดิไคดิงห์จึงเคยเสด็จประพาสฝรั่งเศส ซึ่งเดาว่าพระองค์คงชื่นชอบและจดจำเอาสถาปัตยกรรมกลับมาด้วย ทำให้สุสานของจักรพรรดิไคดิงห์เป็นส่วนผสมของสถาปัตยกรรมตะวันตกและตะวันออกอย่างชัดเจน

ด้านนอกมีรูปสลักของช้าง ม้า และบริวาร ตามหลักของจีน ราวบันไดทางขึ้นแต่ละชั้น ปั้นเป็นรูปมังกรเลื้อย ซึ่งได้ชื่อว่ามีความสวยงามอ่อนช้อย แต่ก็ดูน่าเกรงขาม และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรูปปั้นมังกรเลื้อยที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ส่วนตัวอาคารหลักของสุสานเป็นรูปแบบผสมผสานอย่างเห็นได้ชัด คือมีซุ้มหน้าต่างที่ประดับด้วยลวดลายเสาโรมัน แถมบานประตูก็เป็นช่องกระจกและมีเหล็กดัดตามสไตล์ฝรั่งเศส

ผนังด้านใน บางมุมจะเห็นปูนปั้นเป็นภาพนูนสูง ตกแต่งด้วยเศษกระเบื้องและชิ้นแล้ว บางมุมก็จะเป็นลวดลวยเขียนแบบจีน และบางมุมก็ตกแต่งด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม

แม้เรื่องราวของจักรพรรดิเอง จะฟังดูไม่น่าประทับใจสักเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับ สุสานแห่งนี้มีความสวยงามและยิ่งใหญ่จริงๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภาพเขียนมังกรในม่านเมฆที่บนฝ้าเพดาน ที่ว่ากันว่า ศิลปินต้องห้อยหัวลงมา แล้วใช้เท้าเขียนภาพแทน เพราะเวลาที่จักรพรรดิมาตรวจงาน จะได้ไม่ต้องมองเห็นเท้าของศิลปินในระดับสายตา

คนไทยส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวเมืองเว้ มักไม่มีเวลาจะไปได้ครบทั้ง 7 สุสานอย่างแน่นอน เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลา ลำพังแค่ไปเที่ยวพระราชวังต้องห้าม บวกกับอีก 3 สุสานนี่ก็ใช้เวลาแทบทั้งวันแล้ว เอาเป็นว่าถ้าใครอยากไปให้ครบทั้ง 7 สุสาน คงต้องเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยสัก 3 วันน่าจะดี

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ทางรายการ โลก 360 องศา วันอาทิตย์นี้ เวลา 08.00 น. ทางไทยรัฐทีวี