Ishikawa น่าไปมาก 12
อาหารเช้าของโรงแรม Nikko Kanazawa อุดมสมบูรณ์เสียจนอยากมีเวลาละเลียดนานกว่านี้
อาหารเช้าของโรงแรม Nikko Kanazawa อุดมสมบูรณ์เสียจนอยากมีเวลาละเลียดนานกว่านี้ เสียดายที่เช้านี้มีตารางการเที่ยวชมหลายแห่งเลยกินได้แค่พออิ่ม เราออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางแรก ตลาด Omicho ตลาดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองคานะซาวะมาร่วม 300 ปี ทุกครั้งที่มาก็ต้องแวะหาซูชิกิน รอบนี้เนื่องจากจัดอาหารเช้าแบบเต็มกระเพาะมาแล้วเลยได้แค่เดินชม การมาตลาดยามเช้าได้เห็นอะไรหลายสิ่งที่ไม่มีโอกาสเห็นในยามกลางวัน โดยเฉพาะการส่งอาหารทะเลอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ร้านส่วนใหญ่ในตลาดจะมีลูกค้าที่เป็นร้านอาหารหรือโรงแรมและเรียวกัง ซึ่งจะจัดส่งกันตั้งแต่เช้า ที่ญี่ปุ่นนี่ระบบไว้วางใจสำคัญมาก ร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีร้านขายส่งประจำ
แน่นอนว่าในระยะแรกที่ทำธุรกิจกันก็ต้องมาเลือกหาด้วยตัวเอง แต่พอค้าขายจนเชื่อใจก็ไม่ต้องมาดูกันบ่อย เพราะรู้ความต้องการกันดีอยู่แล้ว ดังนั้นความสัมพันธ์ของคู่ค้าจึงแน่นแฟ้นและสำคัญมาก ในระหว่างที่จัดของส่งลูกค้า หน้าร้านก็จัดของลงด้วยพร้อมๆ กัน เพราะมีพ่อครัวส่วนหนึ่งที่ชอบมาเลือกของด้วยตัวเองยามเช้า เรามีโอกาสเห็นบรรยากาศแบบนี้เฉพาะตอนเช้าเท่านั้น ตลาดเดียวกันแต่คนละฤดูกาลก็มีของแตกต่างไป
รอบที่แล้วผมมาเดือน พ.ค. มีแต่ปลากับกุ้ง รอบนี้เห็นมีปูแทบทุกมุมของตลาด นี่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของอาหารญี่ปุ่นที่วัตถุดิบในแต่ละฤดูกาลมีความต่างกันชัดเจน ทำให้อาหารบางชนิดเป็นของหายาก ต้องมากินในฤดูกาลเท่านั้น วันนี้แทบทุกแผงมีปูตัวเมีย หรือ Kobako ขายถูกบ้างแพงบ้างคละเคล้ากันไป และที่ขาดไม่ได้คือ ปู Kanou ที่ลดรูปลดเสียงมาจาก Crab from Kaga and Noto นั่นเอง ปูชนิดนี้สังเกตได้ง่ายคือมีแทคสีฟ้าติดอยู่ที่ก้าม จริงๆ แล้วมันก็คือปู Suwai ที่เรากินตามร้านปูชื่อดังอย่าง Kanidoraku หรือ Kaniya นั่นแหละครับ เพียงแต่ผ่านการสร้างแบรนด์ที่เหมาะสมกลายเป็นปูขึ้นชื่อและมีคนยอมซื้อในราคาสูง ทีนี้ปูถูกปูแพงมันหน้าตาคล้ายๆ กัน ก็เลยต้องสร้างความแตกต่างด้วยการผูกแทคสีฟ้า เพื่อแยกของคัดแล้วกับของยังไม่คัดออกจากกันนั่นเอง
หลังชมตลาดก็ไปเที่ยวปราสาท Kana zawa กันต่อ อันที่จริงต้องเรียกว่าไปสวนของปราสาทมากกว่า เพราะไม่มีตัวปราสาทให้เห็นอันเนื่องมาจากปราสาทตัวจริงถูกฟ้าผ่าจนเกิดไฟไหม้ไปตั้งแต่ยุคเอโดะ สร้างใหม่ในภายหลังก็ยังโดนไฟไหม้ซ้ำ เพราะยุคนั้นการดับเพลิงอาคารสูงเป็นเรื่องยากลำบาก น้ำในคูก็อยู่ไกล เรื่องไฟไหม้ปราสาทจึงดูเป็นปกติวิสัยในทรรศนะของผม จนถึงยุคปัจจุบันจึงมีความคิดที่จะสร้างขึ้นใหม่เพราะเทคโนโลยีป้องกันอัคคีภัยดีขึ้นมากแล้ว ทางเมืองคานะซาวะจึงค่อยๆ สร้างทีละส่วนทีละตอน เพราะถึงแม้ปราสาทจะขาดความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ของการปกครองแล้วก็ตาม
แต่ในแง่การท่องเที่ยว ปราสาทยังคงเป็นจุดขายที่น่าสนใจ โดยเฉพาะปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินสามารถมองเห็นวิวเมืองได้ชัดเหมือนอย่างที่นี่ สิ่งก่อสร้างที่แล้วเสร็จก็มีประตูทางเข้าปราสาททั้งสามแห่ง คือ Ishikawa-mon Hashizume-mon และ Kahoku-mon รวมทั้งกำแพงปราสาทด้านต่างๆ ด้วย จุดเด่นอย่างหนึ่งของช่างฝีมือญี่ปุ่นคือการเก็บรักษาพิมพ์เขียวหรือแบบแปลนปราสาท รวมทั้งการขุดค้นและค้นคว้าหลักฐานของปราสาทอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อนำปราสาทที่ถูกต้องตามจริงกลับมาให้คนรุ่นหลังได้เห็นอีกครั้ง
นอกจากนี้ ก็ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ Gyokusen’inmaru หรือสวนส่วนตัวของท่านเจ้าเมือง ถ้าพูดถึงสวนแล้วคนที่มาจังหวัดอิชิกาวะคงต้องไม่พลาดการเข้าชมสวน Kenroku ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นแน่ แต่สวน Gyokusen นี้ตั้งภายในเขตปราสาท
คานะซาวะ ได้ถูกทิ้งร้างมานาน เพิ่งได้รับการฟื้นฟูเมื่อปี ค.ศ. 2013 หลังทำการศึกษาหารายละเอียดนานถึง 5 ปี และเสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อเดือน มี.ค. ปี 2015 นี่เอง ในสวนแห่งนี้มีอาคาร Gyokusen’an Rest House สำหรับนั่งจิบชากินขนมชมวิวสวน ทำตัวประดุจท่านเจ้าเมืองไว้คอยบริการด้วย รอบนี้ผมจึงมีโอกาสทำตัวเป็นเจ้าเมืองเสพความสุนทรีย์ทางปากและทางตาอย่างมีความสุข ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าการนั่งดื่มชาชมสวนมันจะผ่อนคลายได้มากขนาดนี้ ใครมีโอกาสมาเที่ยวคานะซาวะลองหาโอกาสมาชมกันครับ นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยมากเหมือนสวนฝั่งตรงข้าม ความสงบยังได้อยู่
จากสวนเราไปต่อกันที่ย่านบ้านซามูไรเก่า Nagamachi-Bukeyashiki ที่ล้อมรอบด้วยคลองสองสาย อาคารสำคัญในย่านนี้มี 3 แห่ง คือ บ้านของโนมูระ บ้านของอาชิงารุ และบ้านของทะคาดะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปชมบ้านของโนมุระกันเพราะมีชื่อเสียงมากที่สุดอันเนื่องมาจากสวนที่อยู่ภายในบ้านที่ได้รับความชื่นชมระดับ 2 ดาวของมิชลินเล่มเขียว เป็นสวนญี่ปุ่นที่เน้นการจัดระดับความใกล้ไกลและลึกตื้นภายในพื้นที่จำกัดให้ดูกว้าง ตัวบ้านของโนมูระที่เราเข้าชมนั้นไม่ใช่หลังออริจินัลเพราะถูกเผาไปแล้ว หลังนี้ ไปยกจากเมืองอื่นมาวางไว้ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับแปลนเดิม ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ไม่บอกก็ไม่มีทางทราบเพราะกลมกลืนไร้ร่องรอย แต่หลังที่ผมชอบกลับเป็นบ้านของ Takada ที่ไม่ได้เป็นซามูไรระดับสูงมาก ตัวบ้านหลักโดนเผาทำลายไปในช่วงซามูไรตกอับ แต่อาคารข้างเคียงและประตูหน้าบ้านยังหลงเหลือให้ชม ด้านในมีข้อมูลเกี่ยวกับซามูไรวิถีให้อ่านได้ความรู้ดี แนะนำว่าถ้ามาเที่ยวแถวนี้ให้มาที่นี่ด้วย จะได้เติมเต็มข้อมูลของชนชั้นซามูไรให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นครับ
จุดสุดท้ายในช่วงเช้าคือที่ที่อยากมาชมนานแล้วคือ 21st Century Museum of Contemporary Art ที่สุดยอดมากๆ สมกับที่อดีตเจ้าเมืองมาเอดะต้องการให้แคว้นคางะเป็นศูนย์รวมด้านศิลปวัฒนธรรมในยุคเอโดะ คนรุ่นหลังจึงสืบทอดแนวคิดแล้วบิดออกมาเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมยุคใหม่ และหนึ่งในตัวชี้วัดคือพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเอง
เริ่มตั้งแต่ตัวอาคารออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังอย่าง Kazuyo Saejima และ Ryue Nishizawa ผู้ก่อตั้งบริษัท SANAA ที่ได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมทั้ง Pritzker Prize ที่เปรียบเสมือนตุ๊กตาทองของวงการสถาปนิกด้วย งานที่มีชื่อเสียงที่สุดในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ Swimming Pool ของ Leandro Erlich ที่สร้างมุมมองของคนบนสระและใต้สระได้อย่างมีนัย อีกตัวที่ชอบคือ Blue Planet Sky ห้องเปล่าที่เจาะช่องแสงด้านบนให้ท้องฟ้าเป็นงานศิลปะที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา รวมทั้งแสงที่ตกกระทบผนังก็เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน คูลมากๆ เลยครับ