posttoday

เลือกตั้ง 66: ดร.สามารถ จับมือผู้สมัคร ส.ส. สางปัญหารถไฟฟ้าสายสีส้มหน้ารามฯ

07 พฤษภาคม 2566

ถูกใจชาวบางกะปิ เมื่อ ดร.สามารถ จับมือผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เดินหน้าแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีส้มหน้ารามฯ

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน นายประเสริฐ ทองนุ่น และ ดร.รุจชรินทร์ ทองใหญ่ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ร่วมกับ ประพฤติ ฉัตรประภาชัย ผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 1 เขต 14 ซึ่งประกอบด้วยเขตบางกะปิ และเขตวังทองหลาง (เฉพาะแขวงคลองเจ้าคุณสิงห์) ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนแนวรถไฟฟ้าสายสีส้ม บริเวณสถานีรามคำแหง เมื่อวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ 17.00 น. 
 
ดร.สามารถ กล่าวว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี) ใกล้เสร็จแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดใช้ได้ เพราะไม่มีผู้เดินรถไฟฟ้า เนื่องจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ยังไม่สามารถหาเอกชนมาร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) และเดินรถตลอดสายทั้งช่วงตะวันออกและช่วงตะวันตกได้ เพราะยังมีการฟ้องร้องขอความเป็นธรรมจากการประมูล  รฟม. จึงไม่สามารถเซ็นสัญญากับเอกชนที่ รฟม. คัดเลือกไว้ได้  
 
ดร.สามารถ ยังกล่าวอีกว่า รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร มีเส้นทางผ่านพื้นที่สำคัญหลายแห่ง เช่น ศูนย์วัฒนธรรมฯ วัดพระราม 9 มหาวิทยาลัยรามคำแหง แยกลำสาลี หมู่บ้านสัมมากร และเคหะรามคำแหง เป็นต้น

หากเปิดให้บริการคาดว่าจะมีผู้โดยสารจำนวนมาก เพราะเป็นเส้นทางที่มีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ กับสายสีเหลืองที่สถานีแยกลำสาลี และกับสายสีชมพูที่สถานีมีนบุรี ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารประหยัดเวลา ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ลดมลพิษ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 แต่น่าเสียดายที่การประมูลมีปัญหา มิฉะนั้น พี่น้องประชาชนสองฝั่งรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกจะได้ใช้รถไฟฟ้าในอีกไม่นาน 

ดร.สามารถ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ที่ผ่านมามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากสอบถามผมมาว่าเมื่อไหร่จะได้ใช้รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกเสียที ? พรรคประชาธิปัตย์เล็งเห็นบทบาทความสำคัญของรถไฟฟ้าสายสีส้มในการขนผู้โดยสารระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เราพร้อมที่จะผลักดันให้มีการเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกโดยเร็ว และที่สำคัญ จะพยายามหาทางไม่ให้รัฐต้องเสียเงินค่าก่อสร้างแพงเกินความจำเป็นตามที่มีข่าวว่ารัฐอาจจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นถึง 6.8 หมื่นล้านบาท"