เลือกตั้ง66:จุรินทร์ ชี้ ผู้นำต้องเป็น นักประชาธิปไตย
จุรินทร์ ชี้ หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกฯ กรรมการร่วมภาครัฐเอกชน ต้องมีบทบาทมากขึ้น หวัง ผู้นำประเทศต้องเป็นนักประชาธิปไตย มีประสบการณ์ บริหารรัฐกิจตัวจริง ขับเคลื่อนงานบริหารในรัฐสภา ชู ยุทธศาสตร์ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ
ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเสนอนโยบายของพรรคในเวทีตอบข้อซักถาม มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ จัดโดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยว่า ทำงานร่วมกับสภาหอการค้า 4 ปีเต็ม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรรคการเมืองที่จะพาประเทศไปข้างหน้าหลังเลือกตั้งได้ อย่างน้อยต้องมี 2 ข้อ 1.หลักคิดในการพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน 2.ต้องมีกลไกขับเคลื่อนประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ขณะที่มีหลายพรรคพูดถึงนักการเมือง ระบบราชการ แต่เท่านี้ไม่พอ เพราะภาคประชาชนและเอกชน ก็เป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
“ถ้าประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาประเทศรวมทั้งเศรษฐกิจ คือ กรอ.(คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน) จะต้องมีบทบาทมากขึ้น และเป็น New กรอ. ที่ไม่ใช่ประชุมในห้องแอร์สั่งการแล้วจบ แต่ กรอ. ต้องขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิผลและผลสัมฤทธิ์จริงในการแก้ปัญหาประเทศ ถ้าประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายจุรินทร์เป็นนายกฯ ผมจะเชิญท่านสนั่น ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าไปร่วมกันแก้ปัญหาเหมือนที่เราทำกันใน กรอ.พาณิชย์ ทำจริงเห็นผลจริง” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์กล่าวว่า หลักคิดของประชาธิปัตย์ในการพาประเทศไทยไปข้างหน้า จะต้องอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ การสร้างเงินนั้น เป็นการสร้างเงินให้ทั้งคนไทยและประเทศ ด้วยการประกันรายได้คนไทยและประกันรายได้ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้จากการส่งออกหรือการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญทั้งเศรษฐกิจฐานราก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำและโครงสร้างพื้นฐาน แต่เท่านี้ไม่พอ เพราะทันทีหลังการเลือกตั้ง ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัญหารัสเซีย-ยูเครน และหลุมดำทางเศรษฐกิจในการขับเคลื่อนจีดีพี เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ไทยเผชิญปัญหาโควิด ทำให้เม็ดเงินหายไป 1 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากจะให้เศรษฐกิจโตไปตามยถากรรม ก็จะโตแค่ 3% เฉลี่ยต่อปีไปจนถึงปี 2570 แต่จะทำอย่างไรให้จีดีพีโต 5% ต่อปี และต้องเติมเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาทกลับเข้าไปด้วย
การสร้างเงิน ที่จะเป็นตัวเติมเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่หายไปในช่วงโควิด ประกอบด้วย 1. ธนาคารหมู่บ้าน 200,000 ล้านบาท 2. กบข. 100,000 ล้านบาท 3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 200,000 ล้านบาท 4. กองทุนสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ต้องมีแต้มต่อ 300,000 ล้านบาท และนโยบาย 10 กว่าข้อที่ประชาธิปัตย์ประกาศอีก 200,000 ล้านบาท รวม 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจไทย โตจาก 3% เป็น 5% ได้
สำหรับนโยบาย สร้างคน เป็นการสร้างคนด้วยการศึกษาและสาธารณสุข ที่ภาคเอกชนต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ใช้ตลาดนำการผลิต และประชาธิปัตย์มีนโยบาย เรียนฟรีถึงปริญญาตรี ในสาขาที่ตลาดต้องการ ส่วนนโยบาย “สร้างชาติ” นั้น เราจะสร้างชาติด้วย 3 ประชาธิปไตย คือ 1.ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.ประชาธิปไตยสุจริต และ 3.ประชาธิปไตยท้องอิ่ม
“ผมมั่นใจ ประเทศไทยถัดจากนี้ถึงเวลาที่ต้องเดินด้วยประชาธิปไตย คนที่จะมานำประเทศต้องเป็นนักประชาธิปไตย มีประสบการณ์ ทั้งบริหารรัฐกิจตัวจริง และมีประสบการณ์ทั้งการถูกตรวจสอบ และการขับเคลื่อนงานบริหารประเทศในรัฐสภา ที่ต้องครบถ้วนสมบูรณ์แบบ และผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อม เพราะฉะนั้นประชาธิปัตย์ขอโอกาสให้ประชาธิปัตย์และนายจุรินทร์คนนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปขับเคลื่อนประเทศต่อไป” นายจุรินทร์กล่าว


