ภาษีหุ้นอเมริกา เรื่องสำคัญที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้าม
เจาะลึก "ภาษีหุ้นอเมริกา" เรื่องสำคัญที่นักลงทุนไทยห้ามพลาด เงินปันผล กำไรขายหุ้น ต้องนำกลับมาคำนวณในไทย วางแผนถูกทางลดความเสี่ยง
ในยุคที่โลกการลงทุนเปิดกว้าง นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยหันไปมองตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ด้วยศักยภาพของบริษัทระดับโลก เช่น Apple Microsoft Tesla หรือ Amazon ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนไทยจำนวนมากเลือกส่งเงินไปต่อยอดในตลาดแห่งนี้
แต่สิ่งที่หลายคนมักมองข้าม หรือยังเข้าใจไม่ลึกพอ คือ “ภาษีหุ้นอเมริกา” ซึ่งมีรายละเอียดเฉพาะตัวและส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุทธิของนักลงทุน
ทำไมเรื่องภาษีถึงสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
การลงทุนในต่างประเทศไม่ใช่เพียงแค่การเลือกหุ้นดีหรือวิเคราะห์งบการเงินได้แม่นเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจเรื่อง “ภาษี” ด้วย เพราะกฎหมายภาษีของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน นักลงทุนต่างชาติอย่างคนไทยที่ถือหุ้นบริษัทในสหรัฐฯ ต้องอยู่ภายใต้กฎภาษีของสหรัฐฯ ด้วย โดยเฉพาะรายได้จาก “เงินปันผล” และ “กำไรจากการขายหุ้น” ซึ่งถือเป็นรายได้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีสิทธิเรียกเก็บภาษี
แม้ว่าการจ่ายภาษีจะดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หากเข้าใจให้ถูกตั้งแต่ต้น จะช่วยให้วางแผนการลงทุนได้รอบคอบมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนในภายหลัง
ภาษีเงินปันผลจากหุ้นสหรัฐฯ
ประเด็นแรกที่นักลงทุนไทยควรทราบคือ ภาษีที่เรียกเก็บจาก “เงินปันผล” ของบริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งทางรัฐบาลอเมริกาจะหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ก่อนที่เงินจะถึงมือนักลงทุน โดยอัตราปกติอยู่ที่ 30% ของเงินปันผลที่ได้รับ
อย่างไรก็ตามไทยกับสหรัฐฯ มีข้อตกลง “ภาษีซ้อน” (Double Tax Agreement: DTA) ที่ช่วยลดภาระนี้ลงเหลือ 15% สำหรับผู้ที่สามารถยืนยันตนว่าเป็นผู้มีถิ่นพำนักภาษีในประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนสามารถยื่นแบบฟอร์ม W-8BEN ให้กับโบรกเกอร์ต่างประเทศ เพื่อขอรับสิทธิลดหย่อนดังกล่าวได้
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณถือหุ้น Apple แล้วได้รับเงินปันผล 100 ดอลลาร์ ปกติจะถูกหักภาษีทันที 30 ดอลลาร์ แต่ถ้าได้ยื่นแบบ W-8BEN ภาษีจะถูกหักเพียง 15 ดอลลาร์เท่านั้น ถือว่าช่วยประหยัดได้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ภาษีกำไรจากการขายหุ้น
ส่วนของ “กำไรจากการขายหุ้น” หรือ Capital Gain ในสหรัฐฯ นั้น มีจุดที่นักลงทุนไทยหลายคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ คือ “สหรัฐฯ ไม่เก็บภาษีจากกำไรขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ” กล่าวคือ หากเป็นคนไทยที่ซื้อขายหุ้นผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ โดยไม่ได้ถือสัญชาติหรือมีสถานะถิ่นพำนักในอเมริกาจะ ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขายหุ้นในสหรัฐฯ
แต่ถึงแม้จะไม่ต้องเสียภาษีที่อเมริกา นักลงทุนไทยยังคงต้อง “นำรายได้ส่วนนี้กลับมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย” ตามหลักภาษีของไทย ซึ่งระบุว่า หากมีรายได้จากต่างประเทศและนำกลับเข้ามาในปีเดียวกัน ต้องรวมรายได้ส่วนนั้นในการคำนวณภาษีด้วย
ภาษีในประเทศไทยสำหรับผู้ลงทุนในต่างประเทศ
แม้ว่าผลกำไรจากการขายหุ้นในสหรัฐฯ จะไม่ถูกเก็บภาษีโดยรัฐบาลอเมริกา แต่ไทยเองมีข้อกำหนดใหม่ที่ควรรู้ นั่นคือ หากนักลงทุนได้รับ “เงินปันผล” หรือ “กำไรจากการขายหุ้น” จากต่างประเทศ และนำเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกัน ต้องนำมารวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทย
ในทางปฏิบัตินักลงทุนบางรายเลือก “ไม่โอนเงินกลับเข้ามาในปีเดียวกัน” เพื่อเลื่อนภาระภาษีออกไป แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีเอกสารยืนยันแหล่งที่มาของเงินและการถือครองอย่างถูกต้อง หากภายหลังมีการตรวจสอบโดยกรมสรรพากร
วิธีลดภาษีและวางแผนให้ถูกทาง
การบริหารภาษีไม่ได้หมายถึง การหลีกเลี่ยงภาษี แต่คือการ “จัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ” เพื่อให้เสียภาษีอย่างถูกต้องและไม่เกินความจำเป็น นักลงทุนควรเริ่มจากการ
- ยื่นเอกสาร W-8BEN เพื่อรับสิทธิหักภาษีเงินปันผลในอัตรา 15%
- เก็บหลักฐานการโอนเงิน การซื้อขายหุ้น และเอกสารยืนยันจากโบรกเกอร์ต่างประเทศไว้อย่างครบถ้วน
- หากมีรายได้จากต่างประเทศ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีหรือภาษี เพื่อวางแผนการนำเงินกลับเข้าประเทศให้สอดคล้องกับกฎหมายไทย
นอกจากนี้ หากลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (เช่น กองทุนที่นำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา) เรื่องภาษีอาจแตกต่างออกไป เนื่องจากภาษีจะถูกรวมและบริหารโดยบริษัทจัดการกองทุน ซึ่งจะถูกหักและคำนวณมาให้เรียบร้อย นักลงทุนจึงควรศึกษาเอกสารของกองทุนแต่ละแห่งให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ
สิ่งที่นักลงทุนไทยควรระวัง
แม้ภาษีจะดูเหมือนเรื่องเทคนิค แต่ในทางปฏิบัติมีผลต่อทั้งผลตอบแทนและความถูกต้องทางกฎหมาย หากนักลงทุนละเลยหรือไม่รายงานรายได้จากต่างประเทศอย่างถูกต้อง อาจถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมค่าปรับและเบี้ยปรับได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรระวังคือ การลงทุนผ่าน “แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ที่ไม่มีใบอนุญาตในไทย” ซึ่งอาจทำให้การจัดเก็บเอกสารหลักฐานภาษีทำได้ยาก และไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้
กล่าวโดยสรุป การลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการขยายพอร์ตไปสู่ระดับโลก แต่การเข้าใจ “ภาษีหุ้นอเมริกา” ถือเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้การวิเคราะห์พื้นฐานบริษัท เพราะภาษีมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุทธิและความถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้นก่อนเริ่มลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจทั้งภาษีที่ต้องจ่ายในสหรัฐฯ และภาษีที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงวางแผนการยื่นเอกสารให้ถูกต้อง เพื่อให้การลงทุนในตลาดต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น โปร่งใส และได้ประโยชน์สูงสุดในระยะยาว
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


