posttoday

ดร.ณัฏฐ์ผ่าวันรัฐธรรมนูญ ชี้เกมแก้รธน.ถูกล็อกโดยกลุ่มอำนาจ

10 ธันวาคม 2568

เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ 10ธ.ค. ดร.ณัฏฐ์ชี้ชัด เกมแก้รธน.ปี 2568 ถูกครอบงำโดยกลุ่มอนุรักษนิยม และโครงสร้างที่ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญจริง

KEY

POINTS

  • คร.ณัฏฐ์ชี้ “รัฐธรรมนูญ” คือกติกาสูงสุดที่ประชาชนเป็นเจ้าของ แต่การเมืองไทยยังถูกกำกับโดยผลประโยชน์กลุ่มอำนาจ
  • กระบวนการแก้รธน.ถูกตีกรอบด้วยคำวินิจฉัยศาลฯ บังคับให้ทำประชามติ 3 ครั้งและห้ามตั้ง สสร.
  • ฝ่ายอนุรักษนิยมคุมกลไกสำคัญของรัฐสภา ทำให้ความคาดหวังต่อการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ยังเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทย

วันรัฐธรรมนูญปีนี้มีนัยสำคัญยิ่ง เมื่อรัฐสภาเปิดประชุมวิสามัญเพื่อพิจารณาแก้ไขมาตรา 256 วาระ 2–3 พร้อมกับการย้อนรำลึกเจตนารมณ์ของคณะราษฎรปี 2475 ที่ประกาศชัดว่า “อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม นักกฏหมายมหาชน หยิบจังหวะเวลาเชิงสัญลักษณ์นี้มาอธิบายรากฐานของประชาธิปไตยไทยว่าแก่นแท้เริ่มจากการยืนยันว่า “ประชาชนคือผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ” ไม่ใช่กองทัพหรือกลุ่มชนชั้นนำใด ๆ

ดร.ณัฏฐ์ ย้ำว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่เพียงกระดาษทางกฎหมาย แต่คือกลไกกำกับชีวิตคนไทยในทุกด้าน ตั้งแต่สิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไปจนถึงการออกแบบระบบการเมือง การแบ่งแยกอำนาจ และการตรวจสอบถ่วงดุล ผู้ปกครองต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่ใช้อำนาจตามใจชอบอีกต่อไป นี่คือหลักพื้นฐานที่เปลี่ยนประเทศจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่รัฐสภา

อย่างไรก็ตาม ภารกิจทำให้รัฐธรรมนูญเป็น “ของประชาชนจริง” ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะรัฐประหารในหลายยุคหลายสมัยทำให้เกิดรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากฉันทามติสาธารณะ ดร.ณัฏฐ์ชี้ว่า นี่คือรอยแผลคงค้างที่ทำให้ความชอบธรรมของกติกาสูงสุดถูกตั้งคำถาม และเป็นเหตุผลที่ประชาชนจำนวนมากเรียกร้อง “รัฐธรรมนูญใหม่” ภายใต้กระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวางกรอบการแก้รัฐธรรมนูญไว้อย่างเข้มงวด โดยชี้ว่าแม้รัฐสภาจะมีอำนาจยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องจัดทำ “ประชามติ” เพื่อสอบถามเจ้าของอำนาจสูงสุดก่อน และต้องทำถึง 3 ครั้ง ดร.ณัฏฐ์อธิบายว่าคำวินิจฉัยนี้เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย เพราะทำให้ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อยกเว้น

ที่สำคัญคือการตีความว่ารัฐสภา “ห้ามจัดให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร.” หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญใด ๆ ซึ่งเป็นกลไกที่หลายประเทศใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กติกาสูงสุด แต่ไทยกลับถูกจำกัดไม่ให้ใช้วิธีนี้ ด้วยเหตุผลว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจมอบหมายให้ประชาชนเลือกผู้ร่างใหม่โดยตรง หากฝ่าฝืน การจัดทำรัฐธรรมนูญจะตกเป็นโมฆะทันที

เมื่อประกอบกับกฎหมายประชามติที่กำหนดกรอบเวลาไม่เร็วกว่า 90 วันและไม่ช้ากว่า 120 วันต่อการออกเสียงแต่ละครั้ง กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญจึงยืดเยื้อและซับซ้อนอย่างมาก นี่เป็นโครงสร้างที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเห็นตรงกันว่า “ยากกว่าทุกยุค” และสะท้อนความกังวลของผู้มีอำนาจที่ไม่ต้องการให้กติกาเปลี่ยนแปลงง่ายเกินไป

ดร.ณัฏฐ์มองว่า การเมืองไทยปี 2568 ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายอนุรักษนิยมที่คุมจังหวะสำคัญในรัฐสภา ตั้งแต่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง ไปจนถึงกลไกตรวจสอบที่สามารถชะลอหรือบิดทิศทางของการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ขณะที่รัฐบาลแม้มีเสียงสนับสนุน แต่ต้องเผชิญกับความซับซ้อนของกติกาและแรงเสียดทานจากผู้เล่นหลายกลุ่ม

สถานการณ์นี้ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เพียง “การเปลี่ยนตัวบทกฎหมาย” แต่เป็นเกมเชิงอำนาจเต็มรูปแบบ ที่สะท้อนว่ายุทธศาสตร์การเมืองของฝ่ายอนุรักษนิยมยังแข็งแรงและมีเครือข่ายสนับสนุนในกลไกของรัฐ การผลักดันให้ถึงเป้าหมาย “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” จึงต้องผ่านด่านที่เข้มข้น ทั้งในสภาและในกระบวนการประชามติ

สุดท้าย ดร.ณัฏฐ์ระบุว่า การเดินทางของประชาธิปไตยไทยจะไม่ก้าวหน้า หากรัฐธรรมนูญยังไม่ถูกสถาปนาภายใต้ฉันทามติร่วมของทุกฝ่าย การร่วมกันกำหนดกติกาที่เป็นธรรมและเป็นของประชาชนจริง คือเงื่อนไขสร้างเสถียรภาพรัฐบาลและลดความขัดแย้งในระยะยาว มิฉะนั้น วงจรความไม่ไว้วางใจและการช่วงชิงอำนาจจะหมุนวนไม่รู้จบ

ข่าวล่าสุด

ภาษีหุ้นอเมริกา เรื่องสำคัญที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้าม