MASTER ลุยอุดวิกฤต “มันสมองไหล” ปิดจ๊อบ Q1/69 ปรับกลยุทธ์ใหญ่แก้เกม
MASTER เผชิญวิกฤต “มันสมองไหล” เดินหน้าอุดช่องโหว่ให้เสร็จภายในไตรมาส 1/69 ปรับกลยุทธ์ใหญ่แก้เกม ขยายฐานลูกค้าต่างชาติมากขึ้น หนุนรายได้ปี 69 กลับมาเติบโต
KEY
POINTS
- MASTER เผชิญวิกฤต "มันสมองไหล" หลังอดีตแพทย์ผู้บริหารและทีมการตลาดระดับสูงย้ายไปอยู่กับคู่แข่ง ทำให้ข้อมูลกลยุทธ์รั่วไหลและนำไปสู่การฟ้องร้อง 75 ล้านบาท
- บริษัทปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่เพื่อแก้ปัญหา โดยเน้น 3 แกนหลัก คือ การบริหารต้นทุน, การขยายฐานลูกค้าต่างชาติให้มีสัดส่วน 40% ในปี 2569 และพัฒนาบริการเฉพาะทางมาร์จิ้นสูง
- ตั้งเป้าจัดการปัญหาภายในและคดีความให้เรียบร้อย เพื่อกลับมาสร้างการเติบโตได้อีกครั้งตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2569 โดยคาดการณ์รายได้ทั้งปีจะเติบโตในระดับเลขหลักเดียว
ช่วงปลายปีของทุกปี บริษัทต่าง ๆ ได้มีการจัดทำแผนธุรกิจของปีถัดไป แต่สำหรับ บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลด้านความงามที่ให้บริการศัลยกรรมครบวงจร ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช” กลับเผชิญกับปัญหาใหญ่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ที่ต้องเร่งแก้ไข และปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด
“ลภัสรดา เลิศภานุโรจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดฉากในงานให้มุมมองทิศทางการดำเนินธุรกิจและวิสัยทัศน์ปี 2569 ว่า บริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งในด้านการแข่งขันทางการค้า และการจัดการระบบหลังบ้าน ซึ่งนำไปสู่การปรับกลยุทธ์และการจัดการภายในครั้งใหญ่
ฟ้องร้องแพทย์บริหาร 75 ล้านบาท เหตุค้าแข่ง
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือ กรณีการฟ้องร้องอดีตแพทย์บริหารของบริษัท ซึ่งปัจจุบันแพทย์ท่านนี้ได้ย้ายไปอยู่กับคู่แข่ง และเปิดตัวอย่างชัดเจน ถือเป็นการผิดสัญญาที่จะต้องไม่ไปประกอบธุรกิจ หรือไปทำงานที่เป็นธุรกิจเดียวกันกับบริษัท เป็นเวลา 2 ปี
แม้ว่ารายได้ที่หายไปต่อเดือนจะอยู่เพียงหลักแสนบาท และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้โดยตรงของบริษัท แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่สูญเสียไป คือ ข้อมูลและกลยุทธ์ เนื่องจากแพทย์ท่านดังกล่าวเป็นแพทย์บริหาร จึงทราบถึงกลยุทธ์ของบริษัทเป็นอย่างดี บริษัทจึงได้ดำเนินการยื่นฟ้องร้องด้วยมูลค่า 75 ล้านบาท
นอกจากนี้ แพทย์ท่านดังกล่าวยังได้ไปแจ้งต่อกระทรวงแห่งหนึ่งว่าบริษัทไม่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลอย่างถูกต้อง เหตุการณ์นี้ทำให้บริษัทต้องสูญเสียโอกาส ทำให้ต้องมีการฟ้องร้องเพิ่มเติมในส่วนของค่าเสียโอกาสด้วย
“ทางบริษัทคาดการณ์ว่าจะชนะคดีนี้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับคดีผิดสัญญาและออกไปค้าแข่งก่อนหน้านี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของแพทย์อีกท่านหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นแพทย์บริหารแบบเคสในปัจจุบัน ซึ่งในเคสนั้นบริษัทชนะคดีไปมูลค่า 20 ล้านบาท”
วิกฤตค้าแข่งของพนักงาน ทำความลับทางการตลาดรั่วไหล
นอกเหนือจากกรณีอดีตแพทย์บริหารแล้ว บริษัทกำลังได้รับผลกระทบจากการที่พนักงานระดับสูงด้านการตลาด จำนวน 12 คน ลาออกไปทำงานกับคู่แข่ง ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่แพทย์บริหารท่านดังกล่าวได้ออกไปทำงานด้วย ด้วยข้อเสนอค่าตอบแทนสูงถึง 3 เท่า เป็นการผิดสัญญาที่จะต้องไม่ไปประกอบธุรกิจ หรือไปทำงานที่เป็นธุรกิจเดียวกันกับบริษัท เป็นเวลา 2 ปี เช่นกัน
“ปัญหาที่น่าตกใจที่สุด คือ ประเด็นเรื่องการรั่วไหลของกลยุทธ์ มีการประชุมกลยุทธ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ Key Player ระดับสูง ซึ่งเรื่องที่คุยกันนั้นรั่วไหลไปถึงคู่แข่งภายในไม่ถึงชั่วโมง ข้อมูลที่รั่วไหล รวมถึงแผนการที่จะดึงอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งเข้ามาทำงาน ซึ่งหลังจากนั้นไม่ถึงวัน อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวก็ถูกคู่แข่งเข้ามาจีบทันที นอกจากนี้ เรื่องแพกเก็จราคาและข้อมูลสำคัญก็ไปขึ้นที่ Line กลุ่มภายใน ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากการประชุม เหตุการณ์นี้ยอมรับว่ารู้สึกช็อก”
ปรับโครงสร้างองค์กรและกลยุทธ์ใหม่
จากวิกฤตข้อมูลและกลยุทธ์รั่วไหล ทำให้บริษัทต้องมีการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ พร้อมจัดทีมบริหารใหม่ทั้งหมด พร้อมดำเนินการป้องกันระบบภายในให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการป้องกันการประกอบธุรกิจค้าแข่ง
นอกจากนี้ เตรียมปรับแผนธุรกิจเชิงรุก โดยเน้น 3 แกนกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1.การบริหารต้นทุนและโครงสร้างราคาที่เหมาะสม เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่แข็งแรง แม้ภายใต้ภาวะการแข่งขัน
2.การขยายฐานลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูง และต้องการศัลยกรรมเฉพาะทาง เช่น อินโดนีเซีย เมียนมา และลาว พร้อมตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ต่างชาติแตะระดับ 40% ในปี 2569 จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% ของรายได้รวม รองรับเป้าหมายสู่การเป็น Regional Company ที่จะมองในตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งประกาศตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
“ปัจจัยหนุนที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้บริษัทมีการเติบโตมากขึ้นในปี 2569 คือ กลุ่มลูกค้าต่างชาติ เนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยยังต่ำมาก ประมาณ 1-2% ในขณะที่ GDP ของอินโดนีเซีย เติบโต 5-6% และกลุ่ม CLMV เติบโต 3-5%”
ขณะที่สัดส่วนรายได้ในประเทศในปี 2569 จะอยู่ที่ 60% ของรายได้รวม ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก คือ ความน่าเชื่อถือของแพทย์ และกลยุทธ์ Word of Mouth ลูกค้าหรืออินฟลูเอนเซอร์ที่เข้ารับบริการ เปรียบเสมือนป้ายโฆษณาเคลื่อนที่
ในด้านการตลาด บริษัทให้ความสำคัญกับช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างมาก โดยลูกค้า 98% มาจากช่องทางเหล่านี้ และ Content เป็นตัวชูโรงในเรื่องของรายได้ การปรับช่องทางการสื่อสารต้องสอดคล้องกับช่วงอายุ เช่น Facebook สำหรับกลุ่ม 35-40 ปีขึ้นไป, IG สำหรับเด็กรุ่นใหม่ และ TikTok สำหรับกลุ่มระดับ Mass
3.การพัฒนา Product Mix และเพิ่มสัดส่วนบริการเฉพาะทางที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจโรงพยาบาลศัลยกรรม และธุรกิจเสริมอาหารเพื่อความงาม
“หลังจากจัดการเรื่องระบบหลังบ้านและคดีความต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว บริษัทมั่นใจว่าจะเห็นการเติบโตกลับมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2569 โดยทั้งปี 2569 คาดว่ารายได้จะเติบโตในอัตราเลขหลักเดียว (Single Digit) หรือไม่เกิน 10% จากปี 2568 ที่รายได้ไม่เติบโต เป็นผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว”
ด้าน “นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ระบุว่า บริษัทได้มีการแต่งตั้ง “ประภาวรินท์ ลองงาม” เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเข้ามาเสริมทัพในองค์กร ทั้งในส่วนของระบบหน้าบ้านและหลังบ้าน การวางระบบบริหารจัดการและการพัฒนาศักยภาพทีมการตลาด รวมถึงการบริหารจัดการตารางแพทย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับการแต่งตั้งครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและขยายกำลังทัพให้มีความพร้อมในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว


