posttoday

ข้าวนาปีราคาปรับขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 8,900-9,400 บาท

08 พฤษภาคม 2565

สศท.2 เกาะติดสถานการณ์ข้าวนาปี 6 จังหวัด ภาคเหนือ ปี 2565/66 ราคา 8,900-9,400 บาท ปรับขึ้นเล็กน้อย

นายประเสริฐศักดิ์ แสงสัทธา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงการบูรณาการจัดทำข้อมูลพยากรณ์เนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2565/66 ของ 6 จังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ พิษณุโลก สุโขทัย แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน และตาก โดยบูรณาการวิเคราะห์ข้อมูลจาก ผลการพยากรณ์ มีดังนี้

เนื้อที่เพาะปลูก คาดว่า จังหวัดพิษณุโลก มีจำนวน 1,487,347 ไร่ ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 2.32 จังหวัดสุโขทัยมีจำนวน 1,129,280 ไร่ ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.01 และจังหวัดแพร่ มีจำนวน 299,420 ไร่ ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.01 เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนของจังหวัดพิษณุโลกปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปทำเกษตรผสมผสาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรบางส่วนของจังหวัดสุโขทัยเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรังล่าช้าจึงต้องปล่อยพื้นที่ว่างในฤดูเพาะปลูกข้าวนาปี เกษตรกรบางรายมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกมันสำปะหลัง เพราะเห็นว่าสถานการณ์ราคาดีต่อเนื่อง ต้นทุนการผลิตต่ำ และบางรายก็มีการปรับเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากสถานการณ์ราคาจูงใจ

ในขณะที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีจำนวน 599,645 ไร่ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.57 จังหวัดน่าน มีจำนวน 336,747 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 2.16 เนื่องจากเกษตรกรคาดการณ์ว่าจะมีน้ำปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวนาปีมากขึ้น และน่าจะมีเพียงพอตลอดรอบการผลิต ปรับเปลี่ยนมาปลูกข้าวในพื้นที่นาที่เคยปล่อยว่าง รวมทั้งมีแรงจูงใจจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว อาทิ โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65

ส่วนจังหวัดตาก มีจำนวน 383,170 ไร่ เท่ากับปีที่ผ่านมา

ผลผลิตต่อไร่ คาดว่า จังหวัดพิษณุโลก มีจำนวน 597 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 1.85 และจังหวัดสุโขทัย มีจำนวน 550 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 8.35 เนื่องจากปีนี้มีฝนตกตั้งแต่ต้นปีทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลเอาใจใส่ดีขึ้นเนื่องจากคาดหวังผลตอบแทนที่จะได้รับจากการผลิต แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน และโรคแมลงศัตรูพืช ส่งผลกระทบให้ผลผลิต เนื้อที่เก็บเกี่ยว และผลผลิตต่อไร่อาจได้รับความเสียหาย ส่วนผลผลิตต่อไร่ของทั้ง 4 จังหวัด ที่มีผลผลิตเท่ากับปีที่ผ่านมา ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีจำนวน 593 กิโลกรัม/ไร่ จังหวัดแพร่ มีจำนวน 578 กิโลกรัม/ไร่ จังหวัดน่าน มีจำนวน 511 กิโลกรัม/ไร่ และจังหวัดตาก มีจำนวน 415 กิโลกรัม/ไร่ เนื่องจากคาดว่ายังคงมีปริมาณน้ำเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงแตกกอและออกรวงเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา

ด้านปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด จังหวัดพิษณุโลก คาดว่าผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 -มกราคม 2566 จำนวน 887,946 ตัน จังหวัดสุโขทัย คาดว่าจะเริ่มออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 - กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 621,104 ตัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนสิงหาคม 2565 - มกราคม 2566 จำนวน 355,589 ตัน เนื่องจากเกษตรกรในบางพื้นที่อาจปลูกข้าวนาปีล่าช้า ซึ่งหากเป็นข้าวเจ้าพันธุ์ขาวดอกมะลิจะมีอายุเก็บเกี่ยวนานถึง 120 วัน ทั้งนี้ ผลผลิตของทั้ง 3 จังหวัด จะเริ่มมีปริมาณมากช่วงเดือนตุลาคม 2565 และกระจุกตัวเดือนพฤศจิกายน 2565 ส่วนจังหวัดแพร่ ตาก น่าน และอุตรดิตถ์ มีช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาดสั้นกว่าจังหวัดอื่น เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกและเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาเดียวกัน โดยจังหวัดแพร่ ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2565 จำนวน 173,065 ตัน จังหวัดน่าน ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนตุลาคม 2565 - มกราคม 2566 จำนวน 172,078 ตัน และจังหวัดตาก ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม 2565 จำนวน 159,016 ตัน

ข้าวนาปีราคาปรับขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 8,900-9,400 บาท

นายประเสริฐศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะที่ภาพรวมสถานการณ์การตลาดข้าวไทย ปี 2565 ราคาข้าวเปลือกเจ้า ณ ความชื้น 15 % คาดว่าปรับตัวสูงขึ้น เพียงเล็กน้อย เฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 8,900 - 9,400 บาท เนื่องจากข้าวเปลือกเจ้าพื้นแข็งของไทยมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าประเทศคู่แข่งทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลก รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีความแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกข้าวเริ่มคลี่คลายลง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยหนุนให้ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่มีมากขึ้นตามกรอบแนวทางการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร

ทั้งนี้ สศท.2 จะดำเนินการติดตามสถานการณ์เพื่อใช้เป็นข้อเสนอแนะในการวางแผนบริหารจัดการข้าวตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล อาทิ กรมชลประทานควรวางแผนบริหารจัดการน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ปรับการระบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำ ระยะเวลา ผลกระทบ และการมีส่วนร่วมของพื้นที่ การแจ้งเตือนภัยเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด (ข้าวพื้นนุ่ม) ให้ทันฤดูกาลเพาะปลูก ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการตลาดต่างประเทศควรแจ้งเตือนสถานการณ์ตลาดล่วงหน้าเพื่อให้ภาคการผลิตสามารถวางแผนทั้งเชิงรุกและเชิงรับ และทุกจังหวัดควรใช้กลไกคณะทำงานประสานงานด้านการตลาด (Demand Site) วิเคราะห์ข้อมูลสมดุลสินค้า (Demand Supply) เพื่อให้ทราบผลผลิตส่วนเกินหรือส่วนขาดเพื่อวางแผนบริหารจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ ส่วนสารสนเทศการเกษตร สศท.2 โทร. 05 532 2658 ต่อ 205 หรืออีเมล [email protected]