10 สมาคมเหล็กไทยยื่นนายกฯ คุมเข้มเปิดโรงงานเหล็กที่เคยถูกสั่งปิด
10 สมาคมผู้ผลิตเหล็กไทยเรียกร้องรัฐบาลพิจารณาเปิดโรงงานที่เคยถูกสั่งปิดอย่างเข้มงวด โปร่งใส ย้ำความปลอดภัยประชาชน มาตรฐาน มอก. และแข่งขันเป็นธรรม
KEY
POINTS
- 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยเรียกร้องให้รัฐบาลคุมเข้มและโปร่งใสในการพิจารณาอนุญาตให้โรงงานเหล็กที่เคยถูกสั่งปิดจากปัญหาด้านมาตรฐานและความปลอดภัยกลับมาเปิดดำเนินการ โดยยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก
- แสดงความกังวลต่อกระบวนการผลิตเหล็กด้วยเตาหลอมแบบเหนี่ยวนำ (Induction Furnace) ที่ไม่มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ ซึ่งอาจผลิตเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. และเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร
- เสนอให้การอนุญาตต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มอก. อย่างเคร่งครัด ผ่านการตรวจสอบทางวิชาการ เพื่อป้องกันเหล็กด้อยคุณภาพเข้าสู่ตลาดและสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันทางการค้า
ตัวแทนจาก 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เดินหน้ายื่นหนังสือต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้รัฐบาลใช้ความเข้มงวด โปร่งใส และยึด “ความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก” ในการพิจารณาอนุญาตให้โรงงานเหล็กที่เคยถูกสั่งปิดชั่วคราวจากปัญหามาตรฐานการผลิต ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม กลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง โดยย้ำว่ารัฐต้องสามารถตอบคำถามต่อสาธารณชนได้อย่างชัดเจน ทั้งในประเด็นมาตรฐานความปลอดภัยของเหล็กโครงสร้าง ความโปร่งใสในการบังคับใช้กฎหมาย และความเป็นธรรมในการแข่งขันทางการค้า
การยื่นหนังสือครั้งนี้นำโดย คุณนาวา จันทนสุรคน ผู้ประสานงานกลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ซึ่งแสดงความกังวลว่า หากมีการอนุญาตให้โรงงานที่เคยถูกสั่งปิดกลับมาผลิตโดยยังใช้แนวปฏิบัติเดิม อาจทำให้เหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานย้อนกลับเข้าสู่ตลาด ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และสร้างความเสียเปรียบให้กับผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานอย่างเคร่งครัด
กลุ่มสมาคมฯ อ้างอิงข้อมูลจากการตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรมที่พบว่า โรงงานที่ถูกสั่งระงับการดำเนินกิจการส่วนใหญ่ใช้กระบวนการหลอมเหล็กด้วยเตา Induction Furnace (IF) ซึ่งมีข้อจำกัดในการควบคุมสารมลทินและองค์ประกอบทางเคมี เนื่องจากไม่มีระบบออกซิเดชันและการสร้างสแลกเพื่อกำจัดสิ่งเจือปน จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process) เช่น การใช้เตาปรุงน้ำเหล็ก (Ladle Furnace) อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม พบว่าโรงงานหลายแห่งไม่มีระบบดังกล่าว หรือมีแต่ไม่ได้ใช้งานอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพเหล็กให้เป็นไปตามมาตรฐาน มอก. ได้ และเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาเหล็กตกมาตรฐานในอดีต
ด้วยเหตุนี้ กลุ่ม 10 สมาคมฯ จึงเสนอให้การพิจารณาอนุญาตโรงงานที่เคยถูกสั่งปิดกลับมาเปิดดำเนินการ ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน มอก. 20-2559 และ มอก. 24-2559 อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะข้อกำหนดในข้อ 5.2–5.5 ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต วัสดุ และส่วนประกอบทางเคมี ซึ่งกำหนดให้ต้องมีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์อย่างเหมาะสม เพื่อให้เหล็กมีคุณภาพ แข็งแรง และปลอดภัยต่อการใช้งาน
กลุ่มสมาคมฯ ยังชี้ว่า กระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตเหล็กที่ได้มาตรฐาน และมีผลโดยตรงต่อความมั่นคงของโครงสร้างอาคาร โดยกรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรระบุว่า “คุณภาพเหล็กไม่ได้มาตรฐาน” เป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมคุณภาพเหล็กอย่างรอบด้าน
เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน กลุ่ม 10 สมาคมฯ เสนอว่า หากผู้ผลิตที่ใช้กระบวนการ IF ประสงค์จะกลับมาเปิดดำเนินกิจการ ต้องนำเสนอเทคนิคหรือกระบวนการที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าการใช้เตาปรุงน้ำเหล็ก ต่อคณะกรรมการวิชาการของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พร้อมเปิดให้มีการตรวจสอบกระบวนการผลิตในสถานที่จริง ก่อนเสนอให้คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นขั้นสุดท้าย
นอกจากนี้ กลุ่มสมาคมฯ ยังตั้งข้อสังเกตต่อกรณีการถอนอายัดเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตของโรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏรายงานผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ ขณะเดียวกัน โรงงานดังกล่าวกลับได้รับอนุญาตให้ทดลองเดินเครื่องจักร ทั้งที่ยังไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ มอก. และไม่เป็นไปตามกระบวนการผลิตที่ระบุไว้ในรายงาน EIA
กลุ่ม 10 สมาคมฯ ระบุเพิ่มเติมว่า การไม่ปฏิบัติตามกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็ก ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าความเป็นจริง และอาจเข้าข่ายการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ขณะเดียวกัน โรงงานดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีการจัดเก็บฝุ่นแดงซึ่งเป็นวัตถุอันตรายเกินกว่าที่รายงาน รวมถึงถูกคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพิกถอนสิทธิประโยชน์เป็นการชั่วคราวจากการฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ กลุ่ม 10 สมาคมผู้ผลิตเหล็กภายในประเทศ จึงเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณาการอนุญาตเปิดโรงงานเหล็กที่เคยถูกสั่งปิด โดยคำนึงถึงการปฏิบัติตามมาตรฐาน มอก. อย่างครบถ้วน ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความโปร่งใส ความเป็นธรรมในการแข่งขัน และความปลอดภัยสูงสุดต่อประชาชน พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ทางผู้ประสานงานจากสมาคมผู้ผลิตเหล็กทางยาวมาตรฐานได้ ได้สรุปข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังนี้
18 ธ.ค. 2567
เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานแห่งหนึ่งจ.ระยอง
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง มีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการ จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขภายในวันที่ 20 ม.ค. 2568
9 ม.ค. 2568
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) อายัดเหล็กเส้น เพื่อตรวจสอบ จำนวน 2,441 ตัน
28 มี.ค. 2568
เกิดเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม
29–31 มี.ค. 2568
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าฯ ตรวจสอบ พบเหล็กไม่ได้มาตรฐาน 2 ขนาด
1 เม.ย. 2568
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันว่าเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานเป็นของโรงงานเดียวกันกับที่เคยมีคำสั่งปิดโรงงานและอายัดเหล็กมาก่อน
2 เม.ย. 2568
สมอ. เก็บตัวอย่างเหล็กเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบ
3 เม.ย. 2568
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ออกคำสั่งอายัด “ฝุ่นแดง” หลังมีข่าวการลักลอบเคลื่อนย้าย
11–17 เม.ย. 2568
มีการตรวจค้นโรงงาน
21 เม.ย. 2568
โรงงานดังกล่าวแถลงข่าวโต้แย้งข้อกล่าวหาเรื่องเหล็กไม่ได้มาตรฐาน
24 เม.ย. 2568
สมอ. แถลงผลตรวจว่าเหล็กได้มาตรฐาน
25 ส.ค. 2568
โรงงานดังกล่าว ยื่นหนังสือร้อง ป.ป.ช. ฟ้อง รมว.อุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ) และพวก
12 ก.ย. 2568
สมอ. ถอนอายัดเหล็ก จำนวน 16,950 เส้น
19 ก.ย. 2568
โรงงานดังกล่าว ยื่นฟ้องนายเอกนัฏและพวก ต่อศาลปกครองระยอง
ขอให้เพิกถอนคำสั่งหยุดประกอบกิจการและคำสั่งอายัดเหล็ก รวมถึงฟ้อง BOI
30 ก.ย. 2568
สมอ. ถอนอายัดเหล็กเพิ่มอีก 24,685 เส้น
27 ต.ค. 2568
รมว.อุตสาหกรรม (นายธนกร) แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
กรณีการถอนอายัดเหล็ก ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
7 พ.ย. 2568
โรงงานดังกล่าว แจ้งว่าปรับปรุงโรงงานแล้ว และให้กรมโรงงานเข้าตรวจสอบ
11 พ.ย. 2568
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เพิกถอนอายัดฝุ่นแดง 77,723.47 ตัน
14 พ.ย. 2568
รมว.อุตสาหกรรม ระบุว่า ไม่ได้สั่งการหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการถอนอายัดฝุ่นแดง
17 พ.ย. 2568
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง กลับมาอายัดฝุ่นแดงอีกครั้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน
25 พ.ย. 2568
– 10 สมาคมเหล็กไทย เข้าพบ รมว.อุตสาหกรรม เสนอให้เข้มงวดการอนุญาตโรงงานเหล็กที่ถูกปิดและขอกลับมาเปิดใหม่
– ครบกำหนด 30 วัน คณะกรรมการตรวจสอบต้องรายงานผลต่อ รมว.อุตสาหกรรม (แต่ยังไม่ปรากฏรายงานต่อสาธารณะ)
11 ธ.ค. 2568
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมการ กมธ. ชี้แจงสรุปผลการทำงาน กมธ. กรณีตึก สตง. ถล่มระบุหนึ่งใน 6สาเหตุหลัก คือ
“คุณภาพเหล็กไม่ได้มาตรฐาน”
12 ธ.ค. 2568
กรมโรงงานอุตสาหกรรม อนุญาตให้โรงงานดังกล่าว ทดลองเดินเครื่องจักรชั่วคราว ไม่เกิน 5 วัน
15–19 ธ.ค. 2568
มีการทดลองเดินเครื่องจักร เพื่อเตรียมขออนุญาตเปิดดำเนินการ ท่ามกลางข้อถกเถียงว่ายังไม่เป็นไปตาม มอก. ข้อ 5.2(3)เรื่องกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process / ladle furnace)
-มีการส่งตรวจตัวอย่างเหล็กที่ แลปของสถาบันยานยนต์ สถาบันไทยเยอรมัน
16 ธ.ค. 2568
– ศาลปกครองจังหวัดระยอง พิพากษายกฟ้องคดีที่ ฟ้องนายเอกนัฏและพวก
– 10 สมาคมเหล็กไทย ยื่นหนังสือถึง รมว.อุตสาหกรรม
ขอให้การอนุญาตเปิดโรงงานต้องผ่านการพิจารณาทางวิชาการของ สมอ. และคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.)


