ตำรวจสอบที่มาปืนไม่มีชื่อพระนักพัฒนาเป็นผู้ครอบครอง

พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปที่จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจสอบความคืบหน้า การสอบสวนคดีมานพ โกปิน อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 9 ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงพระชลธาร ถาวโร กาญจนบุตร อายุ 49 ปี พระนักพัฒนา มรณภาพและนายชูรัตน์ คงคล้าย อายุ 48ปีระหว่างไปตีผึ้งป่า ที่ปากทางาสำนักสงฆ์เขาเพ-ลา หมู่ที่ 9 ต.สมอทอง โดยผู้ก่อเหตุอ้างเหตุป้องกันตัวระหว่างควบคุมบุคคลทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิวช่วงคุมโควิด-19

พล.ต.อ.สุชาติ ได้ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่อย่างละเอียดทั้งจุดที่ผู้ต้องหายืนก่อเหตุ จุดผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย จุดที่พบอาวุธปืนและหัวกระสุนปืน ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน 8 นำชี้จุดพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดตำรวจภูธร จ.สุราษฎร์ธานี นำเครื่องมือมาสแกนตรวจหาหัวกระสุนปืนเพิ่มเติมในที่เกิดเหตุด้วย

พล.ต.อ.สุชาติ กล่าวระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า รอฟังการชี้แจงในสำนวนสอบสวน ซึ่งในส่วนความขัดแย้งยังหาข้อมูลประเด็นนี้อยู่ เรื่องผู้ตายฝ่าฝืนเคอร์ฟิวและสาเหตุที่ถูกยิงกับเคอร์ฟิวคนละเรื่องกันแต่ต่อเนื่องกัน ต้องรอฟังพนักงานสอบ สวนก่อนยังยืนยัน 100% ไม่ได้ต้องสอบหลายปาก อาวุธปืนที่เจอใกล้ศพพระเป็นวัตถุพยานที่ปรากฏอยู่ในสำนวน เป็นดุลพินิจที่พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริงไปว่ามีความน่าเชื่อจะดำเนินคดีใครได้บ้าง และต้องฟังเหตุผลผู้ยิงคือผู้ใหญ่บ้านด้วยที่กล่าวอ้างมามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องรับฟังเขาด้วยที่เขาแจ้งเจ้าหน้าที่มันเกิดเหตุอะไร และดูพยานหลักฐานในที่เกิดมีทั้งอาวุธมีทั้งสภาพบาดแผลด้วย

พ.ต.อ.วิรุฬห์ สุวรรณวงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี หัวหน้าพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่าได้มีการสอบสวนปากคำพยาน ไปแล้วกว่า 10 ปาก ประกอบด้วยกลุ่มคนที่ร่วมเดินทาง กับพระชลธาร ไปจับผึ้งป่าจำนวน 4 ปาก และกลุ่มผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่เดินทางไปพร้อมกับนายมานพ ผู้ต้องหาอีก 1 ปาก ซึ่งเป็นพลเมืองดีที่แจ้งให้นายมานพเข้าตรวจสอบหลังพบว่า มีรถยนต์ จำนวน 3 คัน วิ่งเข้าออกในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งได้สอบปากคำนายปัญญาภรณ์ วัฒนปราโมทย์ ปลัดอาวุโส อ.ท่าชนะ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ

ส่วนประเด็นอาวุธปืนพกสั้นขนาด.380 ที่พบตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุใกล้ศพพระชลธาร ที่นายมานพอ้างว่า ที่ได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนลูกซองยิงใส่พระชลธารและนายชูรัตน์ เนื่องจากเห็นพระชลธาร ชักอาวุธปืนพกออกมา และนายชูรัตน์ นำมีดออกมา ล่าสุดตรวจสอบพบว่าอาวุธปืนกระบอกนี้มีชื่อผู้ครอบครองเป็นชาว อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี แต่ได้นำไปจำนำไว้กับเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของร้านโทรศัพท์แห่งหนึ่งในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี