posttoday

ราชทัณฑ์เผาร่างซีอุยไม่อนุญาตให้นำอัฐิกลับทับสะแก

23 กรกฎาคม 2563

อธิบดีราชทัณฑ์กังวลคนนำอัฐิซีอุยไปสร้างศาล ชี้เผาร่างถือเป็นการปิดตำนานโดยสมบูรณ์ ในฐานะอาจารย์ใหญ่ให้ความรู้แพทย์ ชาวทับสะแกเผยถือเป็นการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ที่วัดบางแพรกใต้ จ.นนทบุรี พ.ต.อ ณรัชต์ เศวตนันท์. อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานในพิธีฌาปนกิจศพ น.ช ลีอุย หรือ ซีอุย แซ่อึ้ง ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมเมื่อ 60 ปีที่แล้ว โดยมีนายมนตรี บุนนาค ผบ.เรือนจำกลางบางขวางและนพ.สุรเชษฐ์ วงศ์วิทยาพาณิชย์. อาจารย์ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมชาวทับสะแกจำนวนหนึ่งเข้าร่วม

พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวว่า การเผาศพซีอุยเนื่องจากชาวอ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)เมื่อปี 62 ว่า หลังจากร.พ.ศิริราชได้มีการประกาศหาญาติซีอุยมาเป็นเวลา 1 เดือน แต่ไม่มีผู้มาแสดงตัวเป็นญาติจึงประสานมายังกรมราชทัณฑ์ และในฐานะที่ซีอุยเป็นนักโทษประหาร และกรมราชทัณฑ์มีหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเหมาะสม ส่วนอัฐิของซีอุย เบื้งต้นยังไม่ได้ข้อสรุปว่านำไปลอยอังคารหรือเก็บไว้ที่วัด หรือเก็บในรูปแบบใด เขียนชื่อ หรือไม่เขียนชื่อ จะขอหารือกันอีกครั้งเนื่องจากต้องการให้วิญญาณของซีอุยไปสู่สุขคติและไม่มีประเด็นอะไรอีก

"ส่วนการนำกระดูกไปเก็บไว้ที่วัดทับสะแกคงเป็นไปไม่ได้ ยังกังวลว่าจะมีการนำไปสร้างศาลซีอุยให้คนเข้าใจผิด หรือมีคนมากราบไหว้ เพราะซีอุยเป็นนักโทษประการที่ก่อคดีหลายคดี เราจัดการตามความความเหมาะสมจะได้ไม่เป็นประเด็น และก็ปฎิบัติกับซีอุยเหมือนกับนักโทษประหารที่ไม่มีญาติเช่นเดียวกับนักโทษรายอื่น"พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าว

พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันส่วนตัวที่เพิ่งสึกจากพระมาก็อยากร่วมงานบุญ ซึ่งตัวซีอุยรับโทษและได้ชดใช้กรรมไปแล้ว ก็ อยากให้ดวงวิญญานของเขาไปสู่สุขคติ ที่ผ่านมารพ.ศิริราชก็ให้ความดูแลร่างอย่างดีและมีการทำบุญในทุกปี ในฐานะที่ซีอุยเป็นอาจารย์ใหญ่ที่ให้ความรู้กับแพทย์ การเผาร่างครั้งนี้ถือเป็นการปิดตำนานของซีอุยอย่างสมบูรณ์

นายจีระโรจน์ จีระพรสวัสดิ์ วัย 78 ปี กล่าวว่า พื้นเพเดิมเป็นชาวอำเภอทับสะแก ปัจจุบันย้ายมาอยู่กทม แล้ว ทราบข่าวจะมีพิธีเผาร่างซีอุยจึงเดินทางมาร่วมพิธี เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ ได้รู้จักและพูดคุยกับซีอุยเนื่องจากซีอุยมาเป็นคนงานรับจ้างทำสวนพริกอยู่ที่บ้านตา ได้ค่าจ้างวันละ 30 บาท เท่าที่จำได้ซีอุยจะมีลักษณะฟันเหยิน พูดไทยไม่ได้เลยมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ทั้งหาบน้ำ ทำสวน ใครจ้างทำงานก็ไปส่วนตัวจะเรียกซีอุยว่า "อาเจ็ก"หรืออา ตามธรรมเนียมคนจีนแต้จิ๋ว "ซีอุยเป็นคนซื่อๆ แกจะติ๊งต๊องหน่อยตรงที่ชอบอาบน้ำในช่วงฤดูหนาว เหมือนจีนโบราณทั่วไป เวลามารับจ้างถางหญ้าในสวนพริก เลิกงานประมาณ 5โมงเย็น แม่ครัวก็จะถามว่าอยากกินอะไร แกชอบกินหมูสามชั้นผัดเกลือ ทุกครั้งมาก็ขอกับข้าวชนิดเดียวทุกมื้อ "ลุงจีระโรจน์ กล่าว

นายจีระโรจน์ ยังบอกอีกว่า ช่วงเกิดคดีฆาตกรรมเด็ก ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อว่าซีอุยจะเป็นคนทำ หรือหากทำจริงๆ ก็ไม่ถึง 7 ศพตามที่ทางการกล่าวหา ยุคเมื่อ60 ปีที่แล้วการสื่อสารและเทคโนโลยียังไม่เจริญ สำหรับคนพูดภาษาไทยไม่ได้และไม่มีล่าม ไม่มีญาติคงเป็นเรื่องยากที่จะสู้คดี

"ผมไปเจออาเจ็ก ครั้งสุดท้ายที่รพ.ศิริราช โดยไม่ได้ตั้งใจ หมอนัดให้ไปตรวจ แล้วขึ้นตึกไปเจอ มองเห็นร่างคนอยู่ในตู้ ก็อุทาน อาเจ็กนี่หว่า น้ำตาผมไหลนะ สงสารแก นึกถึงตอนเคยอยู่ด้วยกันที่ทับสะแก แกเป็นซื่อๆไม่มีพิษสงอะไร เราไม่เชื่อว่าแกจะเป็นคนทำ เผาร่างวันนี้ก็อยากให้จบตำนานไปเลย ผมว่า สมัยก่อนหากเทคโนโลยีการตรวจดีเอ็นเอก้าวหน้าเหมือนยุคนี้ อาจพิสูจน์ได้ว่าแกทำจริงหรือไม่ หรือมีการโยนบาปให้แกเป็นแพะ"

ขณะที่น.ส. ศราวดี ทองฉิม วัย 38 ปี ชาวอ.ทับสะแก กล่าวว่า ตนเองเกิดไม่ทันซีอุย แต่อาม่าและแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ซีอุยเคยมารับจ้างทำลานมันอยู่ที่บ้าน อาม่าและซีอุยเป็นชาวจีนแต้จิ๋วอพยพมาจากเมืองจีนและเป็นคนบ้านเดียวกัน เมื่อมาอยู่ที่อ.ทับสะแก อาม่าจะมีหน้าที่หุงข้าวเลี้ยงคนงาน ซีอุยพูดไทยไม่ได้ ฟังจากการบอกเล่าของคนยุคก่อนว่า ซีอุยเป็นคนซื่อๆ ในฐานะที่เป็นเด็กยุคหลัง เรื่องราวของซุอุยเหมือนวาทกรรมที่ผลิตซ้ำๆว่า เขาโหดร้าย ฆ่าถึง 7ศพ ซึ่งมันอาจจะเป็นความจริงหรือไม่จริงก็ได้ เนื่องจากการพิสูจน์หลักฐานในยุคก่อนแตกต่างจากยุคปัจจุบัน

"หากซีอุยทำผิดจริง เขาก็ผิดรับโทษ รับกรรมไปแล้ว ในวันนี้เผาร่าง ก็ถือว่า หมดกรรม ต่อไปเขาจะไม่ถูกตอกย้ำว่า เป็นฆาตกรฆ่าเด็ก สิทธิของนักโทษประหารที่ไม่มีญาติ ทุกคนเมื่อถูกตัดสินประหาร เขายังได้รับการบำเพ็ญกุศลตามหลักศาสนา การเอาร่างของเขาไปดองแสงดนิทรรศการ ตอกย้ำ ให้สื่อผลิตซ้ำย้อนรอย ย้อนตำนานมนุษย์กินคน หากเขาไม่ได้ทำจริง ถือว่า โหดร้าย บางทีเขาอาจทำแค่ 3 ราย ไม่ใช่ 7 รายก็ได้" ศราวดี กล่าว

น.ส.ศราวดี กล่าวอีกว่า หากเปรียบเทียบความโหดร้ายของฆาตกร คนร้ายที่กราดยิงห้างโคราช ทำคนเสียชีวิตมากกว่าซีอุยอีก แต่ประวัติศาสตร์ไม่ผลิตซ้ำ ขณะที่ซีอุยถูกตอกย้ำมาตลอด เมื่อรพ.ศิริราช ศึกษาเสร็จสิ้นแล้วก็ควรคืนอิสรภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นคน ปลดปล่อยเขาให้พ้นจากพันธนาการ เพราะเขาก็มีคุณูปการเป็นอาจารย์ใหญ่ให้ศึกษา

"ดีใจที่แกจะได้หมดกรรม ไม่ต้องถูกตอกย้ำใหกลายเป็นคนโหดร้ายต่อไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน ขอให้จบ เราตกลงกันแล้วว่า จะไม่ขอเอากระดูกกลับไป ให้ลอยอังคาร ปิดตำนานไปเลย"ชาวทับสะแก กล่าว

เครดิตภาพ เฟซบุ๊ก อัญวุฒิ โพธิ์อำไพ