หมอชี้ต้องเว้นระยะห่าง-อยู่บ้านอย่างน้อย80%ของประชากรจึงจะชะลอการระบาดได้
แพทย์ชี้ประชาชนต้องร่วมมือเว้นระยะห่าง-อยู่บ้านให้ได้อย่างน้อย 80% ของประชากรทั้งหมด จึงจะช่วยชะลอการระบาดของโควิด-19ในไทยได้
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 63 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้แถลงสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้
- นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงผลการศึกษาระบาดวิทยาสุขภาพจิตจากประชาชนกว่า 15,000 คน พบว่า 2 พฤติกรรมสำคัญที่เป็นหัวใจของการหยุดเชื้อคือ
-1.การหลีกเลี่ยงไปในที่แออัดด้วยการ Work from Home มี 71% ทำบ่อยๆ 24% และทำบ้างไม่ทำบ้าง 4%
-2.การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล Social Distancing ไม่เข้าใกล้ผู้อื่นในระยะ 2 เมตร ที่ทำประจำมี 67% ทำบ่อยๆ 26% และทำบ้างไม่ทำบ้าง 5.5%
-ประชาชนที่ทำเป็นประจำสะท้อนว่าความตระหนักและการช่วยกันอย่างจริงจัง แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะช่วยลดการแพร่โรคโควิด-19 ได้
-อธิบดีกรมสุขภาพจิตให้ความเห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทั่วประเทศให้ได้อย่างน้อย 80% ของประชากรทั้งหมดช่วยกันเว้นระยะห่าง อยู่บ้าน อยู่ห่าง เพื่อลดการระบาดให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ชี้แจงกรณีที่มีการอ้างสถานการณ์ที่สหรัฐฯมีการติดเชื้อโควิด-19 ในอากาศ โดยระบุว่า ไม่ได้เป็นการแพร่ระบาดทางอากาศ แต่เป็นการแพร่ระบาดจากน้ำลายจากการเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่
-การติดเชื้อสามารถติดได้ 2 ทางคือ
-1.การหายใจรับเชื้อเข้าไปโดยตรง ซึ่งลักษณะนี้ต้องเข้าไปอยู่ใกล้กับผู้ป่วยพอสมควร
-2.ถ้ามีผู้ป่วยไอทิ้งเอาไว้ แล้วเชื้ออยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งเชื้ออยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมได้ค่อนข้างนาน อาจจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 วัน
-ถ้าผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยลดการแพร่ระบาดลงได้กว่า 97% เพราะฉะนั้นตัวผู้ป่วยสำคัญที่สุดเวลาไอหรือจามจะต้องปิดปากและจมูกทุกครั้ง และจะต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง