posttoday

บทเรียนขายออนไลน์ แบรนด์ขนม “มีสุข” ไม่คิดว่าวันหนึ่งบริษัทจะเจ๊ง

26 ธันวาคม 2568

แบรนด์มีสุข (Meesuk) ผู้ผลิตขนมหวานเจ้าดังในออนไลน์ แชร์บนเรียนธุรกิจ หลังประกาศปิดตัว เผยเป็นการล้มที่เจ็บที่สุดในชีวิต ไม่คิดว่าวันหนึ่งบริษัทจะเจ๊ง

อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่สะท้อนความเปราะบางของธุรกิจ SME ยุคโซเชียล แบรนด์มีสุข (Meesuk) ผู้พัฒนาและจำหน่ายอาหารและเบเกอรี่แนวสร้างสรรค์ หรือชื่อที่ลูกค้ารู้จักคือ "ขนมเปี๊ยะมีสุข" เช หรือ ทาริกา ลี ผู้ก่อตั้งแบรนด์ได้ออกมาเล่าทั้งน้ำตา ถึงการประกาศยุติไลน์การผลิตในโรงงาน พร้อมเลย์ออฟพนักงาน เพื่อเป็นประสบการณ์ และอุทาหรณ์ แก่ธุรกิจรายเล็กอื่น ๆ ผ่านช่อง Meesukstore 

 

เธอเล่าว่า ตลอดเวลากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ต้องนำเงินทุนส่วนตัวมาประคองธุรกิจ เพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงานและดูแลต้นทุนโรงงาน แต่เมื่อยอดขายจากช่องทางโซเชียลไม่เข้ามาเลย ขณะที่รายได้ที่ยังพอมีอยู่จำกัดเฉพาะหน้าร้าน ทำให้ไม่สามารถแบกรับภาระต่อไปได้ หากยังฝืนเดินหน้าต่อ เงินส่วนตัวทั้งหมดอาจหมดลง

 

“ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน เชเริ่มต้นจากการเป็นเพียงแม่ค้าตักขนมขายหน้าร้านเล็ก ๆ ก่อนยอดขายจะค่อย ๆ เติบโตจนขยับขยายเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบและตั้ง บริษัท มีสุข ทีซี จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจเชรักและทุ่มเทสุดหัวใจ โดยไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งจะต้องเดินมาถึงจุดล้มเหลว”

บทเรียนขายออนไลน์ แบรนด์ขนม “มีสุข” ไม่คิดว่าวันหนึ่งบริษัทจะเจ๊ง

เชยอมรับว่า แรงผลักดันสำคัญมาจากความฝันอยากประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ อยากเติบโตแบบอินฟลูเอนเซอร์นักขายชื่อดัง และอยากยกระดับชีวิตของตนเองและพนักงาน เนื่องจากเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ความฝันดังกล่าวต้องหยุดลง เมื่อโครงสร้างต้นทุนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาด

บทเรียนขายออนไลน์ แบรนด์ขนม “มีสุข” ไม่คิดว่าวันหนึ่งบริษัทจะเจ๊ง

ตามทุกกระแสประคองธุรกิจ

เช บอกว่า โลกธุรกิจโหดร้ายกว่าที่คิด เมื่อสินค้าที่เคยขายดี ทั้งขนมหนึบ ขนมผักกรอบ เริ่มมียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องดิ้นรนวิ่งตามทุกกระแสที่กำลังมาแรง จับทุกอย่างที่ฮิต ไม่ว่าจะเป็นทองสเน่หา ทองละมุน ขนมเปี๊ยะ หรือขนมครันชี่ หวังประคองยอดขายให้ธุรกิจอยู่รอด โดยไม่ได้ประเมินศักยภาพของตนเองอย่างรอบด้าน ว่าสามารถบริหารโรงงานและกระบวนการผลิตได้จริงหรือไม่

เช ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ภาพ meesukstore

“ยิ่งขยาย ยิ่งเจ็บ เงินทุนจำนวนมากจมอยู่กับวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต การบริหารสต็อกที่ไม่แม่นยำทำให้สินค้าขายไม่ทัน ต้องทิ้งของจำนวนมาก กลายเป็นการขาดทุนสะสมยาวเป็นปี จนเงินทุนหาย กำไรหด และสุดท้ายบริษัทไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ซึ่งการตัดสินใจสั่งปิดไลน์ผลิตและเลย์ออฟพนักงาน เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต”

 

เธอบอกว่า สุดท้ายต้องนำสินค้าที่เหลือในโกดังออกมาจำหน่าย เพื่อรวบรวมเป็นทุนก้อนสุดท้ายสำหรับการเริ่มต้นใหม่ แม้จะเป็นการล้มที่เจ็บหนักที่สุด แต่เธอย้ำว่ายังไม่ใช่จุดจบ เพราะยังเหลือห้องไลฟ์ ทีมงานบางส่วนที่ยังมีแรงสู้ และลูกค้าที่ไม่ทิ้งกันไปไหน

 

กรณีของ “มีสุข” กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับ SME และผู้ค้าบนโลกออนไลน์ว่า การ “คิดใหญ่เกินศักยภาพ” และ “ผลิตสินค้าอิงกระแสมากเกินไป” อาจนำไปสู่ความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเมื่อยังไม่สามารถประเมินความยั่งยืนของดีมานด์ได้ชัดเจน การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรอย่างโรงงาน อาจกลายเป็นภาระหนักทันทีเมื่อยอดขายสะดุด

 

สำหรับก้าวต่อไป เชระบุว่า จะเริ่มต้นใหม่ด้วยการหันมาไลฟ์สดขายสินค้าของแบรนด์อื่น ผ่านการปักตะกร้าโดยไม่ต้องลงทุนสต็อกสินค้า เพื่อลดความเสี่ยงและต้นทุน เพราะในสภาวะที่เงินทุนจำกัด การไม่ต้องแบกรับสินค้าเหลือทิ้งคือทางรอดที่เหมาะสมกว่า

บทเรียนขายออนไลน์ แบรนด์ขนม “มีสุข” ไม่คิดว่าวันหนึ่งบริษัทจะเจ๊ง

เรื่องราวนี้จึงไม่ใช่เพียงการปิดฉากของแบรนด์หนึ่ง แต่เป็นกระจกสะท้อนให้ผู้ประกอบการ SME เห็นว่า ในยุคที่โซเชียลมีเดียสร้างโอกาสได้รวดเร็ว การเติบโตอย่างระมัดระวัง ควบคุมต้นทุน และไม่ไหลไปตามกระแสโดยขาดแผนรองรับ คือบทเรียนสำคัญที่อาจตัดสินชะตาธุรกิจได้

 

 

Source : เนื้อหาและภาพ TikTok meesukstore 

 

ข่าวล่าสุด

ออมสิน เคียงข้างวีรบุรุษชายแดน ยกหนี้ ทหาร-ตชด.ผู้พลีชีพ-ทายาท