NIA เร่งสปีด SME ไทยหนีเกมเศรษฐกิจผันผวน ปิดช่องโหว่นวัตกรรม
รีเฟรม SME ไทยทั้งระบบ NIA เร่งสปีดนวัตกรรมควบคู่การยกระดับผลิตภาพ ปิดช่องว่าง นำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ ปั้นธุรกิจทุกขนาดสู่ Smart SME แข่งขันได้จริงในเศรษฐกิจผันผวน
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA เปิดเผยว่า เอสเอ็มอีไทยถือเป็นกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจประเทศ แต่ในขณะเดียวกันกลับต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง และข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ดังนั้น การเสริมสร้างขีดความสามารถให้เอสเอ็มอีไทยปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ NIA ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพราะการที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้นั้น จำเป็นต้องเร่งยกระดับเอสเอ็มอีให้สามารถเติบโตจากวิสาหกิจรายย่อยและขนาดย่อม ไปสู่การเป็น ‘Smart SME’ และต่อยอดสู่การเป็นวิสาหกิจขนาดกลางที่มีความเข้มแข็ง มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน และสามารถใช้นวัตกรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น หัวใจสำคัญคือการพัฒนา ‘นวัตกรรม’ ควบคู่กับการพัฒนา ‘ผลิตภาพ’ ในการดำเนินธุรกิจ ที่ไม่ใช่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการวางระบบการจัดการนวัตกรรมในองค์กรอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบริบท ขนาด และศักยภาพของแต่ละธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ทั้งในมิติการเพิ่มรายได้ การลดต้นทุน และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
จากแนวคิดดังกล่าว NIA จึงได้ริเริ่ม ‘โครงการ INNOProductivity for SMEs – เร่งสปีด SMEs ไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรม’ โดยผนึกความร่วมมือกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเพิ่มผลิตภาพ และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินและพัฒนาองค์กร เพื่อออกแบบกระบวนการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย
อย่างครบวงจร ตั้งแต่การประเมินศักยภาพ การให้คำปรึกษาเชิงลึก ไปจนถึงการวางแผนพัฒนาองค์กรเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ครองสัดส่วนการจ้างงานและขีดความสามารถส่วนใหญ่ของประเทศ
โดยในระยะแรกจะให้ความสำคัญกับกลุ่มระดับกลาง (Medium) ก่อน เนื่องจากข้อจำกัดด้านกำลังคน แล้วจึงขยายผลไปสู่ระดับเล็ก (Small) และระดับไมโคร (Micro) เป็นลำดับถัดไป
ทั้งนี้ ดร.กริชผกา กล่าวว่า การยกระดับนวัตกรรมผ่านบทบาทตัวกลางเชื่อมโยง (Focal Conductor) จากการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าไทยยังคงมีอันดับตามหลังสิงคโปร์อยู่มาก แต่มีความสูสีกับประเทศเวียดนาม โดยจุดแข็งสำคัญของสิงคโปร์คือความเข้มแข็งของ SME ในขณะที่ประเทศไทยยังประสบปัญหาเรื่อง การขาดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและขาดการกำหนดมาตรฐาน (Standard)
ด้วยเหตุนี้ NIA จึงวางบทบาทตัวเองเป็น “Focal Conductor” หรือตัวกลางในการเชื่อมโยงนวัตกรรม การบริหารจัดการ และการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการทลายกำแพงการทำงานที่แยกส่วนกัน เช่น ในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มักขาดการสื่อสารข้ามสายงาน เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการ
หรือแม้แต่ปัญหาช่องว่างด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบประเด็นสำคัญในด้าน ภาวะผู้นำ (Leadership) โดยพบว่าองค์กรส่วนใหญ่มีแนวคิดและทิศทางกลยุทธ์ที่ชัดเจน แต่ยังมี ช่องว่าง (Gap) ในการนำกลยุทธ์เหล่านั้นไปถ่ายทอดสู่บุคลากร (Deployment) เพื่อให้เกิดการลงมือทำจนประสบความสำเร็จ
ปัจจัยที่จะเข้ามาปิดช่องว่างนี้คือการใช้ขีดความสามารถของ ผู้บริหารระดับสูงและระดับกลาง (Middle Management) ในการผลักดันให้เกิดการนำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) และตัวชี้วัด (KPI) ไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้สอดคล้องกับทิศทางขององค์กรและสามารถตัดสินใจเชิงบูรณาการได้อย่างแม่นยำ
การสร้างฐานข้อมูลเพื่ออนาคต ในปัจจุบัน โครงการนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้าง ค่ามาตรฐานฐานราก (Baseline) ว่า SME ของไทยควรมีลักษณะอย่างไร ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาและการวิเคราะห์ที่แม่นยำเพื่อจำแนกส่วนแบ่งการตลาด (Segment) ต่างๆ และกำหนดแนวทางการช่วยเหลือให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการ คือ กระบวนการ Consultative Assessment ที่ทำหน้าที่เสมือน ‘กระจกสะท้อนศักยภาพองค์กร’ ช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการประเมินเพื่อให้คะแนน แต่เป็นการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางการยกระดับองค์กร ด้วยนวัตกรรมและผลิตภาพที่เหมาะสมกับบริบทธุรกิจจริง
2 องค์ประกอบยกระดับ SME
ซึ่งจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา NIA มองเห็น 2 องค์ประกอบหลักที่จะช่วยยกระดับเอสเอ็มอีไทยสู่ธุรกิจยุคใหม่ ได้แก่
1. การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ (Management Transformation) ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการตัดสินใจบนพื้นฐานของสัญชาตญาณและประสบการณ์ส่วนบุคคลไปสู่การใช้ข้อมูลสำหรับเป็นฐานในการตัดสินใจ โดยเริ่มจากการวางระบบจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลผลการดำเนินงานอย่างจริงจัง เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนด้านนวัตกรรม ควบคู่กับการกำหนดกลยุทธ์นวัตกรรมที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ให้นวัตกรรมเป็นเพียงโครงการเสริม แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจหลักที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง
2. กรอบความคิดที่พร้อมปรับตัวอยู่เสมอ (Productivity Mindset)
ที่เปรียบเสมือนฐานรากของการพัฒนาองค์กร โดยผู้ประกอบการควรเริ่มจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานพื้นฐานก่อนการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Automation หรือ AI ผ่านเครื่องมืออย่าง 5ส Kaizen และ Lean เพื่อลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน
พร้อมกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการนวัตกรรมอย่างชัดเจน ทั้งในมิติทางการเงิน เช่น รายได้และต้นทุน และมิติที่ไม่ใช่การเงิน เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า และความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งนอกจากจะประเมินและวินิจฉัยจุดแข็ง–จุดอ่อนขององค์กรด้วยเครื่องมือมาตรฐานพร้อมรับคำแนะนำเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังช่วยเตรียมความพร้อมสู่แหล่งเงินทุน สร้างมาตรฐานการบริหารจัดการที่น่าเชื่อถือ เพื่อโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในอนาคต
โดยมีผู้ประกอบการเข้ารับการถ่ายทอดการใช้เครื่องมือประเมินและพัฒนาระบบนวัตกรรมและผลิตภาพภายในองค์กรมากว่า 200 องค์กร ทั้งจากการฝึกอบรมทั่วประเทศและผ่านหลักสูตรออนไลน์ (NIA MOOC) โดยมีผู้ประกอบการจำนวน 41 องค์กร เข้ารับการประเมินและให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ แบบ 1 – on – 1
ทั้งนี้ ผลการประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรมและผลิตภาพกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของสถานะความพร้อมด้านนวัตกรรมของเอสเอ็มอีไทยอยู่ในระดับที่มีการจัดการ (Managed Level) จากผลคะแนนเฉลี่ยที่ 2.42 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5.00) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์กรมีการดำเนินกิจกรรมด้านนวัตกรรมและมีกระบวนการทำงานพื้นฐานแล้ว แต่ยังขาดการบูรณาการอย่างเป็นระบบ และยังไม่ได้นำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจอย่างเต็มรูปแบบ
กิจกรรมนวัตกรรมมักเกิดจากวิสัยทัศน์เจ้าของกิจการเป็นหลัก ยังไม่ถูกถ่ายทอดเป็นระบบงานขององค์กรที่ชัดเจน แต่ก็มีผู้ประกอบการบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และมีความพร้อมในการพัฒนาขีดความสามารถสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมที่เข้มแข็งในอนาคต
โดยสามารถทำคะแนนได้ในระดับ Performed Level (เกิน 3.00 คะแนน) ได้แก่ บริษัท เดฟดี ไทยแลนด์ จำกัด บริษัท โค๊ดฟิน จำกัด และบริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด โดย NIA ได้มอบเกียรติบัตรให้แก่ 3 องค์กรที่ผลการประเมินสะท้อนถึงศักยภาพ ความพร้อม และความมุ่งมั่นในการเติบโตด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน


