posttoday

NIA เร่งสปีด SME ไทยหนีเกมเศรษฐกิจผันผวน ปิดช่องโหว่นวัตกรรม

24 ธันวาคม 2568

รีเฟรม SME ไทยทั้งระบบ NIA เร่งสปีดนวัตกรรมควบคู่การยกระดับผลิตภาพ ปิดช่องว่าง นำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ ปั้นธุรกิจทุกขนาดสู่ Smart SME แข่งขันได้จริงในเศรษฐกิจผันผวน

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA เปิดเผยว่า เอสเอ็มอีไทยถือเป็นกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจประเทศ แต่ในขณะเดียวกันกลับต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง และข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ดังนั้น การเสริมสร้างขีดความสามารถให้เอสเอ็มอีไทยปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

 

จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ NIA ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพราะการที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้นั้น จำเป็นต้องเร่งยกระดับเอสเอ็มอีให้สามารถเติบโตจากวิสาหกิจรายย่อยและขนาดย่อม ไปสู่การเป็น ‘Smart SME’ และต่อยอดสู่การเป็นวิสาหกิจขนาดกลางที่มีความเข้มแข็ง มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน และสามารถใช้นวัตกรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม

 

ดังนั้น หัวใจสำคัญคือการพัฒนา ‘นวัตกรรม’ ควบคู่กับการพัฒนา ‘ผลิตภาพ’ ในการดำเนินธุรกิจ ที่ไม่ใช่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการวางระบบการจัดการนวัตกรรมในองค์กรอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบริบท ขนาด และศักยภาพของแต่ละธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ทั้งในมิติการเพิ่มรายได้ การลดต้นทุน และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว 

 

NIA ผนึกสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ  และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด

จากแนวคิดดังกล่าว NIA จึงได้ริเริ่ม ‘โครงการ INNOProductivity for SMEs – เร่งสปีด SMEs ไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรม’ โดยผนึกความร่วมมือกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเพิ่มผลิตภาพ และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินและพัฒนาองค์กร เพื่อออกแบบกระบวนการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย
อย่างครบวงจร ตั้งแต่การประเมินศักยภาพ การให้คำปรึกษาเชิงลึก ไปจนถึงการวางแผนพัฒนาองค์กรเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ครองสัดส่วนการจ้างงานและขีดความสามารถส่วนใหญ่ของประเทศ

 

โดยในระยะแรกจะให้ความสำคัญกับกลุ่มระดับกลาง (Medium) ก่อน เนื่องจากข้อจำกัดด้านกำลังคน แล้วจึงขยายผลไปสู่ระดับเล็ก (Small) และระดับไมโคร (Micro) เป็นลำดับถัดไป

 

ทั้งนี้ ดร.กริชผกา กล่าวว่า การยกระดับนวัตกรรมผ่านบทบาทตัวกลางเชื่อมโยง (Focal Conductor) จากการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าไทยยังคงมีอันดับตามหลังสิงคโปร์อยู่มาก แต่มีความสูสีกับประเทศเวียดนาม โดยจุดแข็งสำคัญของสิงคโปร์คือความเข้มแข็งของ SME ในขณะที่ประเทศไทยยังประสบปัญหาเรื่อง การขาดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและขาดการกำหนดมาตรฐาน (Standard)

 

ด้วยเหตุนี้ NIA จึงวางบทบาทตัวเองเป็น “Focal Conductor” หรือตัวกลางในการเชื่อมโยงนวัตกรรม การบริหารจัดการ และการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการทลายกำแพงการทำงานที่แยกส่วนกัน เช่น ในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มักขาดการสื่อสารข้ามสายงาน เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการ

 

หรือแม้แต่ปัญหาช่องว่างด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบประเด็นสำคัญในด้าน ภาวะผู้นำ (Leadership) โดยพบว่าองค์กรส่วนใหญ่มีแนวคิดและทิศทางกลยุทธ์ที่ชัดเจน แต่ยังมี ช่องว่าง (Gap) ในการนำกลยุทธ์เหล่านั้นไปถ่ายทอดสู่บุคลากร (Deployment) เพื่อให้เกิดการลงมือทำจนประสบความสำเร็จ

 

ปัจจัยที่จะเข้ามาปิดช่องว่างนี้คือการใช้ขีดความสามารถของ ผู้บริหารระดับสูงและระดับกลาง (Middle Management) ในการผลักดันให้เกิดการนำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) และตัวชี้วัด (KPI) ไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้สอดคล้องกับทิศทางขององค์กรและสามารถตัดสินใจเชิงบูรณาการได้อย่างแม่นยำ

NIA เร่งสปีด SME ไทยหนีเกมเศรษฐกิจผันผวน ปิดช่องโหว่นวัตกรรม

การสร้างฐานข้อมูลเพื่ออนาคต ในปัจจุบัน โครงการนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้าง ค่ามาตรฐานฐานราก (Baseline) ว่า SME ของไทยควรมีลักษณะอย่างไร ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาและการวิเคราะห์ที่แม่นยำเพื่อจำแนกส่วนแบ่งการตลาด (Segment) ต่างๆ และกำหนดแนวทางการช่วยเหลือให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

 

หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการ คือ กระบวนการ Consultative Assessment ที่ทำหน้าที่เสมือน ‘กระจกสะท้อนศักยภาพองค์กร’ ช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการประเมินเพื่อให้คะแนน แต่เป็นการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางการยกระดับองค์กร ด้วยนวัตกรรมและผลิตภาพที่เหมาะสมกับบริบทธุรกิจจริง 

 

2 องค์ประกอบยกระดับ SME

ซึ่งจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา NIA มองเห็น 2 องค์ประกอบหลักที่จะช่วยยกระดับเอสเอ็มอีไทยสู่ธุรกิจยุคใหม่ ได้แก่

 

1. การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ (Management Transformation) ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการตัดสินใจบนพื้นฐานของสัญชาตญาณและประสบการณ์ส่วนบุคคลไปสู่การใช้ข้อมูลสำหรับเป็นฐานในการตัดสินใจ โดยเริ่มจากการวางระบบจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลผลการดำเนินงานอย่างจริงจัง เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนด้านนวัตกรรม ควบคู่กับการกำหนดกลยุทธ์นวัตกรรมที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ให้นวัตกรรมเป็นเพียงโครงการเสริม แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจหลักที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง 

 

2. กรอบความคิดที่พร้อมปรับตัวอยู่เสมอ (Productivity Mindset)
ที่เปรียบเสมือนฐานรากของการพัฒนาองค์กร โดยผู้ประกอบการควรเริ่มจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานพื้นฐานก่อนการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Automation หรือ AI ผ่านเครื่องมืออย่าง 5ส Kaizen และ Lean เพื่อลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน

 

พร้อมกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการนวัตกรรมอย่างชัดเจน ทั้งในมิติทางการเงิน เช่น รายได้และต้นทุน และมิติที่ไม่ใช่การเงิน เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า และความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งนอกจากจะประเมินและวินิจฉัยจุดแข็ง–จุดอ่อนขององค์กรด้วยเครื่องมือมาตรฐานพร้อมรับคำแนะนำเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังช่วยเตรียมความพร้อมสู่แหล่งเงินทุน สร้างมาตรฐานการบริหารจัดการที่น่าเชื่อถือ เพื่อโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในอนาคต 

 

โดยมีผู้ประกอบการเข้ารับการถ่ายทอดการใช้เครื่องมือประเมินและพัฒนาระบบนวัตกรรมและผลิตภาพภายในองค์กรมากว่า 200 องค์กร ทั้งจากการฝึกอบรมทั่วประเทศและผ่านหลักสูตรออนไลน์ (NIA MOOC) โดยมีผู้ประกอบการจำนวน 41 องค์กร เข้ารับการประเมินและให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ แบบ 1 – on – 1

 

ทั้งนี้ ผลการประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรมและผลิตภาพกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของสถานะความพร้อมด้านนวัตกรรมของเอสเอ็มอีไทยอยู่ในระดับที่มีการจัดการ (Managed Level) จากผลคะแนนเฉลี่ยที่ 2.42 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5.00) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์กรมีการดำเนินกิจกรรมด้านนวัตกรรมและมีกระบวนการทำงานพื้นฐานแล้ว แต่ยังขาดการบูรณาการอย่างเป็นระบบ และยังไม่ได้นำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจอย่างเต็มรูปแบบ

NIA เร่งสปีด SME ไทยหนีเกมเศรษฐกิจผันผวน ปิดช่องโหว่นวัตกรรม

กิจกรรมนวัตกรรมมักเกิดจากวิสัยทัศน์เจ้าของกิจการเป็นหลัก ยังไม่ถูกถ่ายทอดเป็นระบบงานขององค์กรที่ชัดเจน แต่ก็มีผู้ประกอบการบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และมีความพร้อมในการพัฒนาขีดความสามารถสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมที่เข้มแข็งในอนาคต

 

โดยสามารถทำคะแนนได้ในระดับ Performed Level (เกิน 3.00 คะแนน) ได้แก่ บริษัท เดฟดี ไทยแลนด์ จำกัด บริษัท โค๊ดฟิน จำกัด และบริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด โดย NIA ได้มอบเกียรติบัตรให้แก่ 3 องค์กรที่ผลการประเมินสะท้อนถึงศักยภาพ ความพร้อม และความมุ่งมั่นในการเติบโตด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน

 

 

ข่าวล่าสุด

พาย้อนดูที่มาของสิ่งประดับ ‘ต้นคริสต์มาส’ บอกเลยไม่ได้น่ารื่นเริงอย่างที่คิด!