posttoday

พาย้อนดูที่มาของสิ่งประดับ ‘ต้นคริสต์มาส’ บอกเลยไม่ได้น่ารื่นเริงอย่างที่คิด!

24 ธันวาคม 2568

ของประดับต้นคริสต์มาสในปัจจุบันเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง แต่ต้นกำเนิดของมันกลับสะท้อนประวัติศาสตร์ของความตาย ความหิวของมนุษย์โลก!

01 ต้นสน

สัญลักษณ์ของการมีชีวิต

 

ต้นสนเป็นต้นไม้ชนิดเดียวที่เขียวได้ท่ามกลางหิมะ

 

ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 4 เป็นช่วงที่ศาสนาคริสต์เริ่มกลายเป็นศาสนาหลักของจักรวรรดิโรมัน ชุมชนในยุโรปเหนือเผชิญฤดูหนาวยาวนานและรุนแรง ฤดูหนาวจึงไม่ใช่ฤดูกาลแห่งความโรแมนติก

แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต้องอดอยากจากการขาดแคลนอาหาร ความเสี่ยงของการเจ็บป่วย และเกิดการเสียชีวิตจำนวนมาก

มันเป็นฤดูที่แย่ที่สุดสำหรับคนในยุคนั้น!

 

ต้นไม้เขียวตลอดปี อย่าง ‘ต้นสน’  จึงมีสถานะพิเศษ เพราะมันเป็นพืชไม่กี่ชนิดที่ยังคงสีเขียวในฤดูหนาว ชุมชนยุโรปเหนือใช้กิ่งไม้หรือทั้งต้นในพิธีกรรมฤดูหนาว เพื่อยืนยันว่าชีวิตยังไม่สิ้นสุด ประเพณีนี้จริงๆ มีมาก่อนคริสตศาสนา และเกี่ยวข้องกับเทศกาลยูล ( Yule ) ของชาวเจอร์มานิก หรือ กลุ่มที่ใช้ภาษาในตระกูลเจอร์มานิก ที่อาศัยอยู่ในยุโรปเหนือและยุโรปกลาง ตั้งแต่ราวก่อนคริสตกาล

 

เทศกาลยูล นี้ จะจัดในช่วงประมาณวันที่ 20-23 ธันวาคมเช่นกัน แต่คนละความเชื่อ คือ เป็น 'พิธีฉลองการกลับมาของแสงสว่างหลังคืนที่ยาวที่สุดของปี'  ซึ่งการฉลองนี้เกิดก่อนคริสตศาสนาจะแพร่เข้าสู่ยุโรปเหนือหลายศตวรรษเลยทีเดียว

อันที่จริง การฉลองให้กับแสงสว่างนั้น มีรากฐานทางความเชื่อมาจากชนเผ่าโบราณจำนวนมากอย่างเช่น วัฒนธรรมของอียิปต์ ที่เชื่อว่า ดวงอาทิตย์คือเทพเจ้า และฤดูหนาวที่เวียนกลับมาในทุกปีเกิดขึ้นเพราะเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อ่อนแรงและล้มป่วย

จึงเริ่มมีการเฉลิมฉลองวันเหมายัน หรือวันที่สั้นที่สุดและกลางคืนยาวที่สุดของปี (ตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคมในซีกโลกเหนือ) เพราะวันดังกล่าวเป็นสัญญาณว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์กำลังจะฟื้นคืนพลัง และแสงสว่างจะเริ่มกลับมาอีกครั้ง

 

การเฉลิมฉลองแสงสว่างหลังฤดูหนาวที่ยาวนาน เป็นจุดกำเนิดเทศกาลที่สำคัญทั่วโลก

 

เมื่อคริสตศาสนาขยายเข้ามา เฉกเช่นเดียวกับวัฒนธรรมในทุกที่บนโลกใบนี้ ประเพณีเดิมเหล่านี้ไม่ได้ถูกลบ แต่ถูกจับมาหลอมรวมกัน ต้นไม้เขียวตลอดปีจึงถูกตีความใหม่ในฐานะสัญลักษณ์ของ 'ชีวิตนิรันดร์'

ต้นคริสตมาสนั้น หากจะนับว่าชาติไหนกำเนิดแบบแรกเริ่มชัดเจน ก็คือ 'เยอรมนี' ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16–17 โดยมีหลักฐานบันทึกว่าคริสเตียนผู้เคร่งศาสนาเริ่มนำต้นไม้ที่ประดับตกแต่งแล้วเข้ามาไว้ภายในบ้าน บางครอบครัวสร้างโครงไม้รูปพีระมิดคริสต์มาส และตกแต่งด้วยกิ่งไม้เขียวและเทียน

สิ่งเหล่านี้ คือจุดเริ่มต้นของธรรมเนียมที่แพร่หลายไปทั่วยุโรป และเข้าสู่สหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่พัฒนาให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองมากยิ่งขึ้น

 

02 ผลไม้และลูกบอล

ความอุดมสมบูรณ์ในโลกที่หิวโหย

 

ลูกบอลตัวแทนของ 'แอปเปิล' และผลไม้

 

ในยุโรปยุคกลาง ต้นคริสต์มาสไม่ได้ประดับด้วยลูกบอลแก้ แต่ด้วยอาหาร!

โดยเฉพาะผลไม้ เช่น แอปเปิล ประเพณีนี้เชื่อมโยงกับแนวคิด ‘Paradise Tree’  ในศาสนาคริสต์ ซึ่งเล่าเรื่องสวนเอเดนและต้นไม้แห่งชีวิต เพราะเรื่องต้นไม้ในศาสนานี้ มีเรื่องเล่าของ ‘แอปเปิลต้องห้าม’ ที่พระเจ้าห้ามไม่ให้กิน แต่แล้วอดัมและเอวา มนุษย์คู่แรกได้กินแอปเปิลต้นดังกล่าวจากการล่อลวงของปีศาจ

นอกจากนี้แต่เดิมยังมีการใช้ 'เวเฟอร์' ประดับต้นคริสตมาส เพื่อสื่อถึงศีลมหาสนิท หากใครเคยเข้าโบสถ์ ก็จะรู้ว่าชาวคริสต์มีพิธีกรรมการรับศีลมหาสนิท ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการชำระล้างบาปนั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า การแขวนผลไม้ไม่ได้มีความหมายทางศาสนาอย่างเดียว แอปเปิลเป็นผลไม้ที่เก็บได้นานในฤดูหนาว การนำมันมาแขวนบนต้นไม้กลางบ้านคือการแสดงถึงความหวังว่าจะมีอาหารเพียงพอในฤดูที่การขาดแคลนเป็นเรื่องปกติ

ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่ออุตสาหกรรมแก้วในเยอรมนีพัฒนา ช่างแก้วเริ่มผลิตลูกบอลแก้วเพื่อทดแทนผลไม้จริง เนื่องจากผลไม้ราคาแพงและเน่าเสียง่าย ลูกบอลแก้วจึงถือกำเนิดจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ความเชื่อ แต่ความหมายเดิมที่มาจากผลไม้ อันแปลว่าความอุดมสมบูรณ์และการอยู่รอดนั้นยังคงติดมากับวัตถุเหล่านี้

ลูกบอลคริสต์มาสจึงเป็นร่องรอยของยุคที่โลกยังไม่มีความมั่นคงทางอาหาร เพราะคนจะขอพรให้ครอบครัวตนเอง ‘อิ่ม’ ก็เพียงพอแล้ว

 

 

03 แสงไฟ

การต่อรองกับความมืด

 

แสงไฟในคืนคริสตมาส ความสว่างสไวที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเทศกาล

 

แสงไฟเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของเทศกาลฤดูหนาว ในยุคก่อนสมัยใหม่ ความมืดไม่ใช่เพียงการไม่มีแสง แต่หมายถึง ความไม่ปลอดภัย การทำงานที่หยุดชะงัก และความเสี่ยงของอันตราย เทียนจึงเป็นทรัพยากรมีค่า และการจุดเทียนจำนวนมากในเทศกาลไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย หากเป็นพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์

นักประวัติศาสตร์อย่าง Ronald Hutton อธิบายว่า เทศกาลแสงในฤดูหนาวของยุโรป ทั้งในวัฒนธรรมเพแกนและคริสต์ คือการตอบสนองทางจิตใจต่อช่วงเวลาที่มืดที่สุดของปี การจุดแสงคือการประกาศว่า มนุษย์ยังสามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตนเองได้

วัฒนธรรมเพแกนของยุโรปเหนืออย่าง เทศกาลยูลของชาวเจอร์มานิก หรือพิธีเหมายันนั้น อย่างที่กล่าวว่าให้ความสำคัญกับเรื่องของแสงเป็นอย่างมาก  เพื่อให้ผ่านช่วงที่มืดมิดที่สุดของฤดูกาลไปได้ ภายหลังเมื่อคริสตศาสนาเข้ามา ศาสนาจึงได้มาพร้อมกับความเชื่อและวาทกรรมที่ว่า

 

พระเยซู คือ แสงสว่างของโลก

 

และการที่พระเยซูเกิดในช่วงฤดูหนาวนี้ นักวิชาการต่างมองว่าความเชื่อดังกล่าวถือว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตอบสนองต่อความกลัวของมนุษย์ในยุคเดิม

เมื่อไฟฟ้าเข้ามาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 แสงไฟคริสตมาส ก็เปลี่ยนรูปแบบออกไป แต่ไม่เปลี่ยนหน้าที่ มันยังคงทำหน้าที่เดียวกัน คือลดความหวาดกลัวต่อความมืด และสร้างความรู้สึกว่ามนุษย์สามารถควบคุมโลกที่ไม่แน่นอนนี้ได้

 

 

04 ดาวบนยอดต้นไม้

การนำทางในโลกที่ไม่แน่นอน

 

ดาวที่เป็นสัญลักษณ์ติดตามสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงจุดยอดสุดของต้นคริสตมาส

 

ดาวบนยอดต้นไม้ เป็นตัวแทนของคริสตศาสนาที่เด่นชัด มันแทน 'ดาวเบธเลเฮม' ที่ปรากฏในพระวรสารนักบุญมัทธิวในฐานะสัญลักษณ์ที่นำทางนักปราชญ์ให้เข้ามาถวายเครื่องสักการะในวันที่พระเยซูบังเกิดในคอกสัตว์เล็กๆ ในเมืองเบธเลเฮม  ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นการเฉลิมฉลองวันคริสตมาสนั่นเอง

 

อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ว่าดาวเบธเลเฮมคือดาวดวงไหน ทุกวันนี้นักวิชาการยังเถียงกันในหลายทฤษฎี ว่า 'ดาวเบธเลเฮม' ที่ปรากฎในคืนวันที่พระเยซูบังเกิด เป็นดาวอะไรกันแน่!

 

บางทฤษฎีกล่าวว่า น่าจะเป็นการเรียงตัวกันของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ในกลุ่มดาวมีน ซึ่งเป็นสัญญาณทางโหราศาสตร์โบราณว่า ‘กษัตริย์องค์ใหม่กำลังถือกำเนิด’ แต่นั่นเท่ากับว่าดาวในภาพจำที่มีดาวเพียงดวงเดียวนั้นไม่ถูกต้องนัก

บางทฤษฎีเล่าว่าน่าจะเป็น ดาวหาง เพราะเคยมีบันทึกว่ามีดาวหากปรากฎในราวคริสตศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล แต่เป็นทฤษฎีที่ไม่ค่อยมีใครจะสนับสนุน เพราะในทางความเชื่อดาวหางเป็นลางร้ายมากกว่า

อีกทฤษฎีหนึ่งก็กล่าวว่า น่าจะเป็น ดาวฤกษ์ที่ระเบิดหรือสว่างผิดปกติ เพราะจะสว่างมากอยู่นานหลายเดือน ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าดาวเบธเลเฮมนั้นคือดาวดวงไหนหรือคืออะไรกันแน่!

 

นอกจากนี้ ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ดาวมีบทบาทมากกว่านั้น มันเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการนำทาง การคำนวณฤดูกาล และการจัดระเบียบเวลา  .. การวางดาวไว้บนยอดต้นคริสตมาส ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดนั้น สะท้อนความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการมีทิศทางนำทาง

เพราะฤดูหนาวในอดีตทำให้เส้นทางถูกปิด การเดินทางยากลำบาก ข่าวสารและการค้าต่างๆ หยุดชะงัก ลองจินตนาการว่ามนุษย์จะหวาดกลัวแค่ไหน ว่าเมื่อพ้นฤดูหนาวที่ยาวนานแล้ว โลกของพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างที่ผ่านมาหรือไม่

 

 

05 สายรุ้ง

สื่อถึงการป้องกันสิ่งชั่วร้าย

 

สายรุ้งหลากสี

 

การพันสายรุ้งรอบต้นคริสต์มาสที่มีหลากสีนั้น มาจากเทศกาลสำคัญที่มีชื่อว่า ซาเทอร์นาเลีย ( Saturnalia ) ของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งจัดขึ้นในช่วง 17-23 ธันวาคม ใกล้กับวันเหมายัน จะใช้พืชสีเขียวในฤดูหนาวพันรอบบ้าน ถนน และวิหาร เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายและนำโชคดีมาให้

เทศกาลนี้มีขึ้นเพื่อบูชาเทพซาตูร์น ซึ่งเป็นเทพแห่งการเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ ชาวโรมันเชื่อว่าเทพองค์นี้เป็นผู้ปกครองในยุคที่เรียกว่ายุคทองในตำนาน ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์เท่าเทียม ไม่มีทาส และไม่มีความอดอยาก

 

เมื่อคริสตศาสนาแพร่มาสู่จักรวรรดิโรมัน พิธีกรรมซาเทอร์นาเลียไม่ได้หายไป แต่นำมาแปลความหมายใหม่ ให้เข้ากับเทศกาลคริสตมาสนั่นเอง

 

การพันพวงมาลัยรอบต้นคริสตมาสจึงไม่ใช่เพียงการตกแต่ง แต่แท้ที่จริงแล้วมาจากความเชื่อที่อยากจะรับมือกับฤดูหนาว ในช่วงเวลาที่มนุษย์ทำเกษตรกรรมไม่ได้ อาหารก็ไม่มี อนาคตหลังหน้าหนาวก็ไม่แน่นอน

 

 

ในช่วงเวลาคริสต์มาสนี้ การประดับต้นคริสต์มาสจึงไม่ใช่แค่เพียงความสวยงาม แต่รากเหง้าของมันได้สะท้อนการต่อสู้ความไม่แน่นอน และความหวาดกลัวต่อภัยธรรมชาติของมนุษย์ จะสู้ยังไงได้ก็ต้องอาศัยความเชื่อนั่นเอง.

 

 

อ้างอิง

https://www.history.com/articles/history-of-christmas-trees

https://www.britannica.com/topic/Saturnalia-Roman-festival

https://www.vaticanobservatory.org/sacred-space-astronomy/maximus-the-confessor-the-dark-ignorance-of-astronomy-and-the-star-of-bethlehem/

ข่าวล่าสุด

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ชู “นิติรัฐ–กระจายอำนาจ” เวทีเนชั่นดีเบต