ทำไม SME ยุคก่อนกลัวเจ๊ง แต่ยุคนี้คิดนานเท่ากับขายไม่ได้
ว่ากันว่า SME ยุคก่อนไม่กล้าตัดสินใจ เพราะกลัวเจ๊ง แต่มาถึงวันนี้เกมเปลี่ยน ใครช้า เท่ากับตกขบวน ใช้เวลาคิดนาน เท่ากับขายไม่ได้ สถาบันเพิ่มฯ ชี้คนในองค์กรต้องมองเห็นดาวดวงเดียวกัน
โลกธุรกิจวันนี้คนที่จะอยู่รอดคือคนที่ปรับตัวเร็ว เพราะการแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกวัน
สุรเชษฎ์ พลวณิช ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กล่าวในงาน เปิดตัวโครงการ INNOProductivity for SMEs -เร่งสปีด SMEs ไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรม ว่า SME ไทยยุคใหม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หากอิงจากประสบการณ์ที่ได้ทำงานและพบกับ SME มาอย่างต่อเนื่อง ต้องยอมรับว่าวันนี้ SME ไทยมีความพร้อมและความคล่องตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในแง่การตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น ความสามารถในการปรับตัว และการเรียนรู้ของผู้บริหาร โดยเฉพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีข้อมูลให้ศึกษาและต่อยอดมากกว่าสมัยก่อน
SME ไทยในปัจจุบันกล้าคิด กล้าปรับ กล้าเปลี่ยน และกล้าเสี่ยงมากขึ้น มีลักษณะของการทำธุรกิจแบบ intelligent คือ กล้าได้กล้าเสีย
"แต่ขณะเดียวกันก็มีวิจารณญาณและความชาญฉลาดในการเลือกแนวทางแก้ปัญหา แตกต่างจากในอดีตที่หลายธุรกิจไม่กล้าเปลี่ยน ไม่กล้าแลก และกลัวความล้มเหลว พูดง่าย ๆ คือ ไม่กล้าเจ๊ง แนวคิดแบบนี้สะท้อนให้เห็นว่าสไตล์ผู้ประกอบการไทยยุคใหม่เปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ในตลาด"
สุรเชษฎ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักธุรกิจยุคนี้รู้จักการใช้ข้อมูล (Data-driven) และการทำ Benchmark อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้น สามารถวิเคราะห์จุดแข็ง–จุดอ่อนได้อย่างชัดเจน และนำไปสู่การวางระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ช่วยให้ SME ไทยมองไกลขึ้น มองอนาคตมากขึ้น และมีศักยภาพในการแข่งขันในระดับประเทศได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลในวันนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันจากต่างประเทศ เพราะแม้เราอยู่เฉย ๆ ก็ยังมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแข่งขันกับเราอยู่ตลอดเวลา
กล้ารื้อธุรกิจตัวเอง เกมอยู่รอด
สุรเชษฎ์ กล่าวต่อว่า ในมุมมองของผมสิ่งที่สำคัญถัดมาคือแนวคิดของ Self-Disruption หรือการกล้ารื้อธุรกิจของตัวเองก่อนที่จะถูกคนอื่นเข้ามา Disrupt เพราะความจริงคือ ทุกวันนี้ทุกคนกำลังคิดจะเข้ามา Disrupt เราอยู่ตลอดเวลา
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ใครจะมา Disrupt เรา” แต่คือ “ถ้าเราจะ Disrupt ตัวเอง เรามีกี่วิธี” และเราพร้อมแค่ไหนในการเตรียมทางออกไว้ล่วงหน้า หากวันหนึ่งโมเดลธุรกิจเดิมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เราจะใช้จุดแข็งอะไรในการแก้ปัญหาและตอบโจทย์อนาคต
สิ่งที่น่าสนใจคือ วันนี้เราจะเห็นความพยายามในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ และธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนว่า SME ไทยมีความพร้อมทางความคิดในการก้าวไปสู่จุดนี้มากขึ้นแล้ว
"อีกประเด็นสำคัญที่ผมมองว่าเป็นหัวใจของปัจจุบันและอนาคต คือคำว่า Customization หลายคนอาจคิดว่าเรื่องนี้เป็นเกมขององค์กรขนาดใหญ่ แต่ในมุมมองของผม SME ทำได้ดีกว่า คล่องตัวกว่า และตัดสินใจได้ง่ายกว่าอย่างชัดเจน"
Customization ช่วยสร้างคุณค่า (Value) ได้ตรงจุด ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง และเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถตั้งราคาได้ เพราะนี่คือสินค้าหรือบริการที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช่ของมาตรฐานในตลาด ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลานานในการปรับระบบ ปรับกระบวนการทำงาน และที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและช้า
ในทางกลับกัน SME สามารถเปลี่ยน Process ได้เร็วกว่า และปรับ Culture ของคนในองค์กรได้ง่ายกว่า นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่ทำให้ SME ไทยมีโอกาสอยู่รอดและเติบโตในอนาคต
ใคร Speed เร็ว ได้เปรียบ
สุรเชษฎ์ กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ที่ตนเองได้ไปดูงานทั้งบริษัทจีนและบริษัทญี่ปุ่น พบว่าวิธีคิดแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางองค์กรคิดแล้วคิดอีก ใช้ข้อมูลอย่างรอบคอบมากก่อนตัดสินใจ ขณะที่บางองค์กรคิดได้ระดับหนึ่งแล้วลงมือทำทันที เพราะเชื่อว่า “ถ้าช้ากว่านี้ จะไม่ทันเกม”
สิ่งที่สะท้อนชัดคือ วันนี้การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่ความสมบูรณ์แบบ แต่คือ Speed ใครตัดสินใจเร็วกว่า ปรับตัวเร็วกว่า และลงมือทำก่อน มีโอกาสชนะมากกว่า แค่แข่งขันให้ได้ แล้วลุยเลย โดยไม่ต้องรอคำว่า Perfect
ไม่ได้มองว่ามีทิศทางไหนถูกหรือดีกว่ากันอย่างชัดเจน เพราะจากที่เห็น มีอยู่สองคอนเซ็ปต์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันและต่างก็ยั่งยืนในแบบของตัวเอง คือแนวคิด Compete แล้วลุยเลย กับแนวคิด รอให้พร้อมหรือให้ Perfect ก่อน ซึ่งสุดท้ายแล้ว การเลือกทางใดก็ขึ้นอยู่กับบริบทและคู่แข่งของแต่ละธุรกิจ
คำถามสำคัญสำหรับ SME ไทยจึงไม่ใช่ว่าแนวทางไหนดีที่สุด แต่คือ “ธุรกิจของเราเหมาะกับเกมแบบไหน” เพราะในความเป็นจริง คู่แข่งไม่ได้รอให้เราพร้อมเสมอไป
สุรเชษฎ์ บอกว่า ในมุมมองของเขาบทบาทของ SME ไทยในอนาคตควรต้องตอบโจทย์ 3 เรื่องหลัก คือ Green – Digital – ความทันสมัย ทั้งหมดนี้ต้องเดินอยู่บนฐานของ Productive Innovation หรือการสร้างนวัตกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าได้จริง ไม่ใช่แค่นวัตกรรมเชิงภาพลักษณ์
หากเราไม่กล้าปรับตัว เราก็จะถูกบังคับให้ปรับโดยสภาพแวดล้อมอยู่ดี ดังนั้นแนวคิดเรื่องการ “รื้อคิดใหม่กับธุรกิจของตัวเอง” และการเตรียมทางออกล่วงหน้าเพื่อสร้างสิ่งใหม่ จึงเป็นแนวทางที่น่าสนใจและหลีกเลี่ยงไม่ได้
SME ไม่น้อย "รู้ทิศ" แต่ "ไม่รู้ทาง"
ทั้งหมดนี้กลับมาที่คำว่า กลยุทธ์ หากองค์กรมีทิศทางที่ชัดเจน (Direction) ก็ยังพอเดินต่อไปได้ แต่ปัญหาของ SME ไทยจำนวนไม่น้อยคือ “รู้ทิศ แต่ "ไม่รู้ทาง” คือรู้ว่าควรไปข้างหน้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหน และทางไหนเหมาะสมที่สุด
"ผมเชื่อว่าการประเมินด้วยกรอบ Productive Innovation จะช่วยตอบโจทย์นี้ได้ ทำให้เรามองเห็นทางเลือกที่เป็นไปได้ รู้ว่ามีเส้นทางใดบ้างที่นำไปสู่ความสำเร็จ และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น ซึ่งในมุมมองเชิงวิเคราะห์ ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยเชื่อม 'ทิศ'ให้กลายเป็น 'ทาง' ได้อย่างเป็นระบบ"
ความเร็วคือหัวใจ “คิดนาน ขายไม่ได้”
สุรเชษฎ์ ระบุว่า ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่รุนแรงและรวดเร็ว "ความไว" กลายเป็นปัจจัยตัดสินความอยู่รอดที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม SME ที่ต้องเผชิญกับสภาวะที่ว่า "คิดนาน ไม่ทันได้ขาย" เนื่องจากเมื่อสินค้าหรือบริการออกสู่ตลาดเพียงไม่นาน คู่แข่งก็พร้อมที่จะลอกเลียนแบบหรือทำตามได้ทันที ดังนั้นการขับเคลื่อนองค์กรในยุคนี้จึงต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างสิ่งที่เรียกว่า Super InnoProductivity เพื่อให้เกิดกระบวนการทำงานที่สร้างนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
เมื่อผู้นำคิดแทนจนพนักงานเลิกคิด
อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการสร้างนวัตกรรมภายในองค์กร SME มักเกิดจากตัวผู้นำเอง หลายครั้งที่ผู้นำมีความคิดก้าวไกลไปมาก แต่พนักงานกลับตามไม่ทัน ทำให้เกิด ช่องว่างระหว่าง "คนคิด" กับ "คนทำ" หากผู้นำตัดสินใจคิดและทำแทนลูกน้องทั้งหมดจนพนักงานไม่ได้ฝึกใช้ความคิด ในที่สุดพนักงานจะหยุดคิดตาม และองค์กรจะประสบปัญหาการขาดแคลนผู้นำรุ่นถัดไปที่จะมาขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต สาเหตุส่วนหนึ่งของปัญหานี้มาจากการที่องค์กรขาดระบบการสอนงาน (Coaching) ที่มีความต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมต่อความเข้าใจระหว่างคนในองค์กร
ปรากฏการณ์ "มองเห็นดาวคนละดวง"
เมื่อองค์กรเติบโตขึ้น ปัญหาที่พบบ่อยคือผู้นำและพนักงาน "มองเห็นดาวคนละดวง" หมายถึงการที่ทิศทางของผู้บริหารกับสิ่งที่พนักงานรับรู้นั้นไม่ตรงกัน เมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจน เส้นทางในการปฏิบัติงานย่อมไม่สอดคล้อง ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง (Conflict) และการที่พนักงานขาดความผูกพันกับองค์กร (Engagement) ท้ายที่สุดจะก่อให้เกิดสภาวะ Non-productivity หรือการสูญเสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะทุกคนต่างทำงานไปคนละทิศละทางและไม่เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ
อย่างไรก็ตามการบูรณาการคือรากฐานของนวัตกรรม หัวใจของการสร้างนวัตกรรมและการเพิ่มผลผลิตในอนาคตคือ ความเป็นทีมเวิร์กและการบูรณาการ ผู้ประกอบการต้องตระหนักว่า หากองค์กรขาดความสอดคล้องและการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบแล้ว นวัตกรรมย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะจะถูกทำลายด้วยความขัดแย้งภายในเสียก่อน การสร้าง ระบบนวัตกรรม จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ SME เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเดินไปในทิศทางเดียวกันอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน


