posttoday

EXIM BANK คาดสงครามการค้าฉุด GDP ปี 69 โต 0–2% รุกบทบาท Export Co-pilot

17 ธันวาคม 2568

EXIM BANK ประเมินส่งออกไทยปี 2569 ชะลอเหลือ 0-2% จากสงครามการค้า ค่าเงินผันผวน และฐานสูงปี 68 เดินหน้าหนุน SMEs รุกตลาดใหม่ในบทบาท Export Co-pilot

KEY

POINTS

  • EXIM BANK คาดการณ์ว่าการส่งออกไทยในปี 2569 จะขยายตัวในกรอบ 0-2% จากแรงกดดันของสงครามการค้าและปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
  • ภาคส่งออกไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ผู้ส่งออกรายใหญ่เพียง 20% สร้างมูลค่าส่งออกได้กว่า 90% ขณะที่ SMEs ส่วนใหญ่ยังขาดศักยภาพและการเข้าถึงแหล่งทุน
  • ธนาคารจึงเตรียมรุกบทบาท "Export Co-pilot" เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ผ่านสินเชื่อ การจับคู่ธุรกิจ และมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อรับมือความท้าทาย

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 0-2% จากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งสงครามการค้า มาตรการภาษีแบบตอบโต้ ข้อพิพาทชายแดน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงผลของการเร่งส่งออก (Front-loading) ในปี 2568 ซึ่งทำให้ฐานการส่งออกอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ดี ในปี 2568 การส่งออกไทยยังถือว่ากลับมาเติบโตในระดับสูง และเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกตลอดทั้งปีจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10%

เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้าง พบว่าภาคการส่งออกไทยยังเผชิญโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะความไม่สมดุลระหว่าง “จำนวนผู้ส่งออก” กับ “มูลค่าส่งออก” ปัจจุบันผู้ส่งออก SMEs มีสัดส่วนเกือบ 80% ของผู้ส่งออกทั้งหมด แต่สร้างมูลค่าส่งออกได้เพียงราว 10% ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 20% กลับครองมูลค่าส่งออกมากกว่า 90% สะท้อนถึงช่องว่างด้านศักยภาพและการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการรายย่อย
 

ในด้านสินเชื่อธุรกิจ นายชลัช ระบุว่า โครงสร้างสินเชื่อในระบบการเงินยังคงกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ซึ่งถือครองสัดส่วนเกือบ 70% ขณะที่ SMEs ได้รับสินเชื่อเพียง 30% และมีแนวโน้มลดลงจากความกังวลด้านความเสี่ยง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สินเชื่อธุรกิจในระบบขยายตัวเฉลี่ยเพียง 0.3% ต่อปี ต่ำกว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 2.1%

นายชลัช กล่าวว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มุ่งทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถปรับตัว แข่งขันได้ และเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ผ่าน 4 แนวทางหลัก ได้แก่

1. การกระตุ้นการส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ให้ขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ ผ่านการจับคู่ธุรกิจ เครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน พร้อมสนับสนุนสินเชื่อ “EXIM Export Booster” และสินเชื่อพร้อมประกันการส่งออก “EXIM Safe Trade Credit” เพื่อบริหารความเสี่ยงจากสงครามการค้าและปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์

2. การแก้ไขและดูแลหนี้ สำหรับลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูกิจการ ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อและปิดหนี้ได้เร็วขึ้น

3. การเพิ่มสภาพคล่องและรักษาการจ้างงาน ด้วย “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อการส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 3” ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม รวมถึงมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้และข้อพิพาทชายแดน

4. การลงทุนเพื่ออนาคต ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายความยั่งยืน อาทิ Sustainability-Linked Loan และสินเชื่อ Green X Transformation เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทย และผลักดันการเติบโตบนเส้นทางเศรษฐกิจสีเขียวและเทคโนโลยีขั้นสูง

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อขยายบทบาทการสนับสนุนภาคธุรกิจไทย ทั้งด้านการส่งออก การเยียวยา และการฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่ Export Co-pilot ที่พร้อมยืนเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ช่วยนำพาผู้ประกอบการไทยไปปักธงในตลาดใหม่ เพิ่มยอดส่งออก และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

“EXIM BANK พร้อมเดินหน้าร่วมกับภาครัฐและผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำหน้าที่ Export Co-pilot เคียงข้างผู้ประกอบการไทยรุกตลาดโลก ลดต้นทุนในปัจจุบัน ขยายโอกาสสู่อนาคต และวางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน” นายชลัช กล่าว

ข่าวล่าสุด

Smart Solar Energy Solutions : มิติใหม่ของคลังสินค้าสีเขียวเพื่อ Net Zero