posttoday

หอมกลิ่นความเจริญ ‘นัวโนส’ ยาดมสายขำ ที่เล่าชีวิตคนไทยผ่านกลิ่น

17 ธันวาคม 2568

'หอมกลิ่นความเจริญ' สโลแกน ‘นัวโนส’ ยาดมสายขำ กับกลิ่น ‘รางวัลที่ 1’ และ ‘ปางห้ามญาติ’ เมื่อความเครียดคนไทยถูกถ่ายทอดผ่านกลิ่น จากไอเดียชายผู้เริ่มธุรกิจด้วย AI

ในวันที่ตลาดยาดมมีเจ้าตลาดยืนหนึ่งมานาน และมีแบรนด์ใหม่ทยอยกระโดดลงมาในสมรภูมิ Red Ocean แทบทุกปี กลับมียาดมแบรนด์หนึ่งที่เลือกเดินเข้ามาแบบไม่กลัวชน พร้อมตั้งคำถามง่าย ๆ ว่า ถ้ายาดมไม่ได้ช่วยแค่ให้สดชื่น แต่ช่วยเยียวยาความรู้สึกของคนทำงานได้ จะเป็นอย่างไร

 

นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘นัวโนส’ (Nuanose) ยาดมสายขำที่มีทั้งกลิ่น “รางวัลที่ 1” ซึ่งขายดีเป็นพิเศษในวันหวยออก ไปจนถึงกลิ่น “ปางห้ามญาติ” ที่ชวนให้คนไทยยิ้มฝืนๆ ทุกครั้งที่โดนถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ ในงานรวมญาติ ยาดมที่ฟังดูเหมือนเรื่องเล่น ๆ แต่กลับรีเลตกับชีวิตจริงของคนไทยอย่างน่าประหลาด

 

ที่น่าสนใจคือ เจ้าของแบรนด์นี้ ไม่เคยอยู่ในธุรกิจยาดมมาก่อน เขาไม่ใช่สายสมุนไพร ไม่ใช่นักการตลาดสาย FMCG และไม่เคยคิดจะทำเครื่องหอมเป็นอาชีพ แต่สิ่งเดียวที่เขามี คือ “คำถาม” และ “AI”

 

เบื้องหลังไอเดียทั้งหมดมาจาก ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Nuanose
ชายที่ธุรกิจหลักในชีวิตจริงคือการทำ AI Solution ให้กับธนาคาร แต่วันหนึ่งกลับตั้งโจทย์ท้าทายตัวเองว่า ถ้าใช้แค่คนหนึ่งคน ไม่มีทีม ไม่มีพนักงาน และมี AI เป็นคู่คิด จะสร้างแบรนด์สินค้าขึ้นมาจริง ๆ ได้ไหม

 

ระหว่างที่บริษัทของเขาแจกยาดมเป็นของพรีเมียมให้ลูกค้าอยู่แล้ว แต่ไม่เคยมีใครติดต่อกลับมาขอซื้อเพิ่ม คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว หรือจริง ๆ แล้ว ยาดมไม่ได้มีปัญหาที่กลิ่น แต่มีปัญหาที่เรื่องราว จากจุดนั้น เขาเริ่มคุยกับ AI แบบจริงจัง ตั้งแต่การวิเคราะห์ตลาดไปจนถึงการตั้งคาแรกเตอร์ของแบรนด์ และคำตอบที่ได้ ก็ชัดเจนอย่างคาดไม่ถึง คนไทยไม่ได้ต้องการแค่ความสดชื่น แต่ต้องการ “กำลังใจ” ในวันที่ชีวิตกดดัน

ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Nuanose

 

ระดมสมองกับ AI

ดร.ณภัทร เล่าว่า เขาลองคุยแทบทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง ChatGPT, Gemini และ Claude เริ่มจากให้ช่วย Brainstorm แผนธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที สิ่งแรกที่เขาทำคือถาม AI ตรง ๆ ว่า ถ้าจะทำยาดมให้แข่งขันในตลาดได้ ควรเริ่มจากอะไร คำตอบที่ได้ ไม่ได้พาไปเรื่องสูตรสมุนไพรหรือแพ็กเกจหรู แต่ย้อนกลับไปมอง “ชีวิตคนไทย” AI ช่วยไล่เรียงตั้งแต่บริบทสังคมไทยที่คนต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ภัยพิบัติอย่างน้ำท่วม ไปจนถึงความเครียดที่สะสมอยู่เงียบ ๆ ในชีวิตประจำวัน ก่อนจะสรุปออกมาเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ชัดเจน คนไทยต้องการกำลังใจ และความสดชื่น

 

ประโยคนั้น กลายเป็นจุดตั้งต้นของทุกอย่าง ตั้งแต่ชื่อแบรนด์ ไปจนถึงแนวคิดของยาดมที่ไม่ได้ถูกจำกัดภาพไว้แค่ผู้สูงอายุ แต่เป็นยาดมสำหรับคนรุ่นใหม่ ใช้ได้ทุกจังหวะของชีวิต วันที่เหนื่อย วันที่ท้อ หรือแม้แต่วันที่อยากหัวเราะให้กับความจริงของตัวเอง

 

ทำให้ “นัวโนส” ออกมาเป็นยาดม 8 กลิ่น แต่ละกลิ่นแอบกวนเล็ก ๆ ไม่ถึงกับรักษาอาการเวียนหัวอย่างจริงจัง แต่ช่วยคลายความตึงเครียดระหว่างวันได้พอให้หายใจโล่งขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่แรก คือพนักงานออฟฟิศ หรือ Office Warrior คนทำงานในห้องแอร์ ที่ไม่ได้ใช้แรงกายมาก แต่ต้องแบกรับแรงกดดันสูงตลอดทั้งวัน

 

หอมกลิ่นความเจริญ ‘นัวโนส’ ยาดมสายขำ ที่เล่าชีวิตคนไทยผ่านกลิ่น

ทั้งที่เขาไม่เคยอยู่ในธุรกิจยาดมมาก่อน ไม่ใช่คนที่ใช้ยาดมเป็นประจำ แต่รู้ว่าตลาดนี้มีอยู่จริง และมีขนาดใหญ่มาก แม้ก่อนโควิดก็ถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ และแค่ได้ส่วนแบ่งเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถสร้างมูลค่ามหาศาลได้

 

กลับมาที่เรื่องของกลิ้น ดร.ณภัทร เล่าว่า ยาดมของเขาไม่ได้ตั้งใจทำมาเพื่อแก้อาการวิงเวียนอย่างจริงจัง ไม่ได้จะไปแข่งเรื่องสรรพคุณหรือสูตรสมุนไพรกับแบรนด์ใหญ่ แต่เป็นยาดมที่มีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือ สร้างอารมณ์ และคลายความเครียดให้คนที่หยิบมันขึ้นมาดม แต่ละกลิ่นจึงไม่ใช่แค่กลิ่น แต่เป็น “สถานการณ์ในชีวิตจริง” ที่คนทำงานคุ้นเคยดี ตั้งแต่กลิ่น “รอวันเงินเดือนออก” กลิ่น “รางวัลที่ 1” ที่ขายดีเป็นพิเศษในวันที่ 1 และ 16 ไปจนถึงกลิ่น “เดอะแบก” สำหรับพนักงานที่ต้องแบก KPI ของทั้งองค์กรไว้บนบ่า

 

รวมถึงกลิ่น “ปางห้ามญาติ” เพราะมันรีเลตกับประสบการณ์จริงของคนจำนวนมาก ญาติที่ชอบถามคำถามชวนอึดอัด ตั้งแต่ เมื่อไหร่จะแต่งงาน ไปจนถึง เมื่อไหร่จะมีลูก คำถามที่ไม่มีใครอยากตอบ แต่ก็หนีไม่พ้น และนั่นคือกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจเจาะตั้งแต่แรก คนทำงานและคนรุ่นใหม่ ที่อาจไม่ใช่สายยาหม่องหรือยาดมแบบดั้งเดิม แต่กำลังมองหาสิ่งเล็ก ๆ ที่เข้าใจชีวิตและความรู้สึกของตัวเอง

 

การเริ่มธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้งบมหาศาล

ในช่วงเริ่มต้น ดร.ณภัทร บอกว่า ไม่มีพนักงานเลย มีแค่เขาคนเดียว แต่สิ่งที่เกินคาดคือ ความเร็ว เขาสามารถสั่งผลิตแบบ OEM ได้ภายใน 24 ชั่วโมง จากเดิมที่คิดว่าจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน การออกแบบทุกอย่างใช้เวลาเพียงวันเดียว แม้เวอร์ชันแรกจะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็เป็นต้นแบบที่ใช้งานได้จริง เพราะ AI เข้ามาช่วยแทบทุกขั้นตอน ตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์ ออกแบบ ไปจนถึงการส่งแบบให้โรงงานผลิต

 

"เป้าหมายของการทำโปรเจกต์นี้ตั้งใจให้เป็นตัวอย่างให้แบรนด์อื่นเห็นว่า การเริ่มธุรกิจหรือพัฒนาระบบไม่จำเป็นต้องใช้งบมหาศาล หัวใจสำคัญคือการใช้ AI ให้ถูกจุด ใช้ในงานที่คนไม่ถนัด งานระบบ งานซ้ำ ๆ และงานที่ต้องการความเร็ว ตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างระบบไปจนถึงขั้นตอนเริ่มต้นของการทำธุรกิจ

 

AI ไม่ปฏิเสธไอเดีย เหมือนคนรอบข้าง 

อีกมุมหนึ่ง ดร.ณภัทร บอกว่า สำคัญคือ AI ไม่ได้รีบปฏิเสธไอเดียเหมือนคนรอบข้าง หลายครั้งคนที่ทำธุรกิจมานานจะถูก “ดับไฟ” เร็วเกินไป AI มักจะสนับสนุนและให้กำลังใจ ซึ่งอาจจำเป็นมากในช่วงเริ่มต้น เพราะถ้าอยู่ดี ๆ คนทำธุรกิจด้านดาต้ามาขายเครื่องหอม คนรอบตัวก็อาจตั้งคำถามว่า ทำไมต้องลำบาก ทั้งที่ชีวิตก็ดีอยู่แล้ว

 

"แต่การที่ AI ไม่ปฏิเสธตั้งแต่แรก กลับช่วยให้การเบรนสตอร์มมีคุณภาพขึ้น และพาไปสู่คำตอบว่า ควรใช้คนตรงไหน สุดท้ายจึงยังมีพื้นที่ให้มนุษย์ได้โคครีเอตโอกาสร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นงานขาย งานออกแบบ หรือการสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับทีมงาน”

 

credit : Nuanose

สุดท้ายงานออกแบบเราเลือกใช้คน ไม่ใช้ AI เพราะรู้สึกว่า AI ยังทำออกมาได้ไม่น่ารักพอ และไม่ตรงจริตของแบรนด์อย่างที่ต้องการ ซึ่งจริง ๆ ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะในช่วงแรกทุกคนคาดหวังไว้สูงมากว่าจะใช้ AI เป็นหลักในงานออกแบบ แต่สุดท้ายเราก็เลือกถอยออกมา ส่วนงานขาย เชื่อว่าที่คนตัดสินใจซื้อ เป็นเพราะมี “คนจริง ๆ” ลงไปขายเอง เข้าใจจิตใจผู้บริโภค แบรนด์นี้ตั้งใจมอบกำลังใจและความรู้สึกของความเจริญให้กับคนที่หยิบไปดม เพราะลูกค้าหลายคนเหนื่อย เครียด และอยากประสบความสำเร็จ 

 

“ผมคิดว่าผู้บริโภครับรู้ได้ทันทีว่าผลิตภัณฑ์มีองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ถ้าเป็นแบรนด์ที่มีแต่ AI ไม่มีคนอยู่ข้างใน สุดท้ายก็จะไปไม่รอด เพราะนั่นไม่ใช่สินค้าที่ขายให้มนุษย์จริง ๆ”

 

แน่นอนว่ายังมีข้อถกเถียงว่า เมื่อธุรกิจขยายใหญ่ขึ้น สุดท้ายก็ต้องมีทีมเทคหรือโค้ดเดอร์จริงอยู่ดี แต่ในช่วงเริ่มต้น AI ช่วยลดแรงเสียดทานและอุปสรรคไปได้เกือบทั้งหมด อย่างน้อยทำให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นได้จริง มีระบบสั่งซื้อ จัดส่ง ลูกค้าได้รับของภายในเวลาที่ชัดเจน แล้วจึงค่อยพิสูจน์ว่าธุรกิจนี้อยู่รอดได้หรือไม่ เมื่อธุรกิจเริ่มตั้งหลักได้ การทำบัญชีให้ถูกต้อง การมีระบบที่ดี และโครงสร้างที่ชัดเจน ก็จะกลายเป็นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว

 

หากธุรกิจไปต่อได้ การระดมทุนหรือขอสินเชื่อก็ทำได้ง่ายขึ้นมาก เพราะเราวางระบบตั้งแต่วันแรก ทุกค่าใช้จ่ายถูกบันทึกและตรวจสอบได้ละเอียดแบบอัตโนมัติ ต่างจากธุรกิจทั่วไปที่มักเริ่มก่อนแล้วค่อยจัดระเบียบทีหลัง บทเรียนนี้ทำให้เห็นว่าการมีระบบตั้งแต่ Day One ช่วยสร้างความน่าเชื่อถืออย่างมาก

 

credit : nuanose

ยาดมกลิ่นรางวัลที่ 1 ขายดี

สำหรับสินค้าที่ขายดีที่สุดคือกลิ่น “รางวัลที่ 1” สีฟ้า ก่อนหน้านั้นกลิ่นยอดฮิตคือ “ชิพระราม 2” ที่สะท้อนอารมณ์ผู้คนจากสถานการณ์ช่วงที่พระราม 2 เกิดเหตุการณ์บ่อย ๆ  แต่เมื่อเปิดตัวกลิ่นรางวัลที่ 1 ซึ่งสื่อถึงความหวังและความร่ำรวย ก็กลายเป็นเบอร์หนึ่งทันที เสมือนภาพสะท้อนว่าทุกคนอยากสัมผัสความสำเร็จ กลิ่นนี้มีกลิ่นส้มอ่อน ๆ จากคอนเซปต์ “ส้มหล่น”

 

แนวคิดเรื่องกลิ่นทั้งหมด AI มีส่วนช่วยตั้งแต่คอนเซปต์ แต่สุดท้ายต้องคัดกรองว่า ขายได้จริงไหม และทำกลิ่นออกมาได้หรือไม่ เช่น กลิ่นรวย กลิ่นนัว ที่ตีความออกมาเป็นกลิ่นองุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนได้สัมผัสความรวยในขวดราคา 79 บาท ก่อนจะไปถึงของแพงหลักหมื่น

 

ทีมงานไม่เคยทำเครื่องหอมมาก่อน จึงใช้ AI ช่วยรีเสิร์ชเชิงเคมีว่า กลิ่นไหนเข้ากันได้ จากนั้นนำสูตรไปให้โรงงาน OEM ที่ได้มาตรฐานผลิตจริง ทุกขั้นตอนมีเลขจดแจ้งครบถ้วน การคุยกับ AI ล่วงหน้าช่วยให้ R&D เร็วขึ้นมาก และเพิ่มโอกาสสำเร็จถึงราว 80% เพราะคอนเซปต์ชัดตั้งแต่ต้น ไม่ต้องแก้ไขบ่อย

 

ผลลัพธ์คือทุกขั้นตอนตั้งแต่แนวคิด ผลิต จัดซื้อ ไปจนถึงระบบหลังบ้านเชื่อมต่ออัตโนมัติทั้งหมด ทำให้การวัดว่าธุรกิจจะกำไรหรือไม่ เหลือเพียงคำถามเดียวคือ “ต้องใช้คนกี่คน” ซึ่งสะท้อนพลังของการใช้ AI และระบบที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ กำไรของสินค้าแทบจะเห็นตั้งแต่วันแรก เพราะตั้งราคาให้เหมาะสม ทำให้ธุรกิจน่าเชื่อถือและสเกลได้แทบจะทันที ทั้งหมดนี้เกิดจากการใช้ AI ที่ช่วยลดทั้งต้นทุนและเวลาในการเริ่มต้น จากเดิมที่ต้องใช้เงินและเวลาสูง พอมี AI ทุกอย่างก็เบาลงและเร็วขึ้นมาก

 

“ด้านการตลาด แม้โซเชียลมีเดียจะเป็นพื้นฐานที่ทุกคนใช้กันอยู่แล้ว แต่สำหรับโปรดักต์แบบนี้ ผมยังเชื่อว่าต้องมีการสื่อสารแบบ face to face และความเป็นมนุษย์จริง ๆ จึงไม่ได้เน้นใช้ AI มาถมการตลาด เช่น อินฟลูเอนเซอร์เสมือนหรือคอนเทนต์อัตโนมัติ แม้จะเวิร์กกับบางสินค้า แต่ไม่ใช่กับแบรนด์นี้สิ่งที่เราอยากรักษาไว้คือการเป็นแบรนด์ที่เข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังเหนื่อยและผ่านความยากลำบาก”

 

ใช้ AI ลดภาระระบบหลังบ้านให้มากที่สุด

กลยุทธ์ของเราคือใช้ AI ไปลดภาระงานหลังบ้านให้มากที่สุด เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนได้โฟกัสกับการทำแคมเปญ การออกงาน และการสื่อสารแบบมีอารมณ์ร่วม เช่น การทำวิดีโอขำ ๆ หรือการพบปะผู้คนจริง ๆ

 

ส่วนการแข่งขันในตลาดยาดม ต้องยอมรับว่าเป็น Red Ocean เต็มรูปแบบ มีทั้งแบรนด์ดั้งเดิมและแบรนด์สมุนไพรจำนวนมาก ซึ่งในมุมธุรกิจอาจดูไม่สมเหตุสมผลที่จะสร้างแบรนด์ใหม่ แต่เหตุผลที่ทำก็เพราะอยากท้าทายตัวเอง ตอนลงมือทำจริงจึงหันไปศึกษาเนื้อหา Blue Ocean Strategy และใช้ AI ช่วยตีความแนวคิดนั้นให้เหมาะกับแบรนด์ของเราโดยเฉพาะ เพื่อหาพื้นที่ใหม่ในตลาดที่ดูอิ่มตัวแล้ว

หอมกลิ่นความเจริญ ‘นัวโนส’ ยาดมสายขำ ที่เล่าชีวิตคนไทยผ่านกลิ่น

แบรนด์เล็กไม่มีทางชนะเจ้าตลาดได้

ถ้าสรุป Blue Ocean Strategy แบบสั้นที่สุด บอกชัดว่า 

 

“เราไม่มีวันแข่งขันกับเจ้าตลาดได้ ถ้าเราพยายามทำทุกอย่างเหมือนเขาหมด เพราะเราเล็กกว่า เงินทุนน้อยกว่า แบรนด์และการรับรู้ที่น้อยกว่า ทางรอดคือ “ต้องเด่นกว่าในบางด้าน และยอมด้อยกว่าในบางด้าน”

 

สมมติแบรนด์มีองค์ประกอบหลัก 6 ด้าน อย่างน้อย 3 ด้านต้องยอมด้อยอย่างตั้งใจ เช่น แบรนด์นี้เราเลือกไม่แข่งเรื่องสรรพคุณเชิงสุขภาพ ไม่ได้สื่อว่ายาดมช่วยรักษาอาการเวียนหัว บางกลิ่นอาจเวียนกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะมีน้ำหอม แต่เราไปโฟกัสที่ความสนุก ความรีเลต และการเป็นของขวัญที่สื่อสารอารมณ์แทน

 

อีกด้านที่ยอมด้อยคือไม่แข่งเรื่องความหรูหราของแพ็กเกจ ไม่ทำกระปุกโลหะราคา 400–500 บาท เพราะไม่สอดคล้องกับเจตนาของแบรนด์ที่อยากเข้าถึงง่ายและให้กำลังใจคน นั่นเป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีอยู่แล้ว

 

สิ่งสำคัญคือการ “เลือก” ว่าจะสู้ตรงไหน และจะไม่สู้ตรงไหน เพราะถ้าแบรนด์ไม่ชัด โปรดักต์จะออกมาไม่ชัด หนังสือเล่มนี้ให้กรอบความคิดที่ดีมาก และ AI ก็เข้ามาช่วยเร่งกระบวนการคิดให้เร็วและชัดขึ้น

 

วิธีใช้คือ เอาวัตถุดิบอย่างหนังสือ Blue Ocean Strategy เข้าไปคุยกับ AI แล้วตั้งโจทย์ตรง ๆ ให้ช่วยแปลแนวคิดให้เข้ากับแบรนด์ของเรา เช่น ให้ช่วยแตกองค์ประกอบการแข่งขัน เปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด แล้วชี้ให้เห็นว่า เราควรเด่นด้านไหนและยอมด้อยด้านไหน AI ทำหน้าที่เหมือนที่ปรึกษาที่ช่วยกลั่นความคิดออกมาอย่างเป็นระบบ ทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและมั่นใจขึ้นว่าแนวทางที่เลือกนั้นเหมาะกับแบรนด์จริง ๆ

 

การคุยกับ AI ให้ได้ผลเร็วคือ “ต้องให้บริบทครบก่อนถาม” AI จะตอบดีได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจว่าเราทำอะไร แบรนด์อยู่จุดไหน ทีมมีกี่คน เป้าหมายคืออะไร ราคาอยู่ระดับไหน ถ้าโยนคำถามกว้าง ๆ โดยไม่ปูพื้น คำตอบจะไม่ลึกและใช้จริงไม่ได้ จากนั้นค่อยสั่งให้ AI ช่วยประยุกต์แนวคิดหรือหนังสือให้เข้ากับธุรกิจเรา และถ้าต้องการข้อมูลเชิงลึก เช่น สูตรหรือวิจัย ต้องเปิดโหมดรีเสิร์ช ไม่อย่างนั้นคุณภาพคำตอบจะจำกัด

 

การใช้ AI กับธุรกิจมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ใช้โดยไม่ตรวจสอบเสี่ยงพอ ๆ กับไม่ใช้เลย โดยเฉพาะงาน R&D หรือสิ่งที่เกี่ยวกับความปลอดภัย ต้องมี “human in the loop” เพราะ AI อาจมั่วได้ สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าใช้ AI เพื่อลดคนอย่างเดียว แต่ใช้เพื่อลดภาระซ้ำซ้อน เพิ่มกำไร และทำให้คนไปทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น เป้าหมายไม่ใช่บริษัทที่มีคนน้อยที่สุด แต่คือระบบที่ทำให้ธุรกิจรอดมากขึ้น ล้มแล้วลุกใหม่ได้เร็ว และสร้างโอกาสใหม่ให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจมากกว่าเดิม

Credit : Nuanose

อยากเห็น SME ใช้ เทคโนโลยี

ภาพอนาคตของ SME ไทยที่อยากเห็น คือการเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมในทุกมิติ จนเกิด Product Innovation พร้อมกับยังสามารถจ้างงานได้ในระดับหนึ่ง แม้จำนวนคนอาจไม่มากเท่าสมัยก่อน แต่พนักงานแต่ละคนอาจมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม

 

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังสนใจนำ AI มาใช้ในธุรกิจ คำแนะนำคือ ลองเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการลงทุนสมัครใช้เครื่องมือ AI สักหนึ่งเดือน แล้วนำไอเดียที่คิดไว้มานานมาลองทำจริงอย่างเต็มที่ บางไอเดียอาจเสร็จภายในไม่กี่วัน หรืออย่างน้อยก็ได้ต้นแบบ (Prototype) ออกมาอย่างรวดเร็ว

 

หากไม่เวิร์ค ก็ถือเป็นบทเรียน เพราะในความเป็นจริง ธุรกิจกว่า 80% ก็มีโอกาสล้มอยู่แล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่การไม่ล้ม แต่คือการล้มแล้วลุกให้เร็ว เริ่มให้เร็ว รู้ให้เร็วว่าไอเดียไหนไม่รอด จะได้ไม่เสียเวลาและไม่ต้องเสียดายว่า “ไม่ได้ลองทำ”

 

วันนี้เป็นช่วงเวลาทองของผู้ประกอบการ เพราะสิ่งที่ในอดีตเคยทำยาก ใช้เวลานาน ตอนนี้สามารถทำได้เร็วขึ้นมาก ใครเริ่มก่อน ย่อมได้เปรียบก่อน

 

 

Source : งาน SME Symposium “Smart Firm Smart Move ก้าวสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี พลิกโฉม SME ไทย สู่โลกดิจิทัล” เรียบเรียงโดยโพสต์ทูเดย์ 

 

ข่าวล่าสุด

ธนาคารไทยเครดิตคว้า 2 รางวัล ด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน จาก ก.ล.ต.