posttoday

เศรษฐกิจไทยปี 69 ยังติดหล่ม แม้กนง.ลดดอกเบี้ย แนะ SME ช่วยตัวเอง

17 ธันวาคม 2568

แม้ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน พ.ย.68 ปรับตัวดีขึ้น แต่มาจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากรัฐ หวั่น Q 4 –ปี 69 อาการหนัก จากปัจจัยลบรอบด้าน

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจไทยในปี 2569 คาดว่าจะยังคงชะลอตัว โดยคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตเพียง 1.6% - 2% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกหดตัว
  • การลดดอกเบี้ยของ กนง. ถูกมองว่าเป็นปัจจัยหนุนผู้ประกอบการ SME โดยจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ส่งเป็นผลดีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
  • เรียกร้องรัฐคุมสินค้าเถื่อนอย่างจริงจัง และส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand)

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ตัวเลขยังไม่ดีนัก แม้ว่าประเด็นการ “ยุบสภา” ไม่ได้เป็นเรื่อง “เซอร์ไพรส์” ของภาคเอกชน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่คาดกว่าจะยังคง “ติดหล่ม” แต่การลดดอกเบี้ยของ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ (17 ธ.ค.2568) ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 หรือครั้งสุดท้ายของปี 2568 ก็อาจเป็นปัจจัยหนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME ได้

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า การลดดอกเบี้ยเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ได้ เพราะการลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีอย่างชัดเจนคือทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แม้ว่าปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งไม่ได้สะท้อนสภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทยก็ตาม แต่ก็ทำให้ภาคการส่งออก และ ท่องเที่ยว ได้รับอานิสงส์ เพราะภาคการส่งออก และ ท่องเที่ยว เป็นฟันเฟืองที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย

Q4 น่ากังวล หวั่น GDP ติดหล่ม 0.3%

สถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ ยังอยู่ในช่วงกดดัน โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 และ 4 ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะไม่ดี ตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ที่สภาพัฒน์ประกาศออกมานั้นอยู่ที่เพียง 1.2% ซึ่งต่ำกว่าที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ไว้ที่ 1.7% ถึง 0.5%, ทำให้ไตรมาสสุดท้าย (ไตรมาส 4) ยิ่งน่าเป็นห่วง

รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล จึงได้คลอดนโยบาย Quick Big Win ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพยุงไม่ให้ GDP ในไตรมาสที่ 4 ตกลงไปเหลือเพียง +0.3% เนื่องจากหากเศรษฐกิจลงไป "ติดหล่ม" ที่ระดับนี้แล้ว จะต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นขึ้นมาได้

มาตรการอย่างโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟส 1 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี และทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 89.1 โดยมีเป้าหมายคือต้องดัน GDP ในไตรมาส 4 ให้ขึ้นไปอยู่เหนือ 1% ให้มากที่สุด

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีดังกล่าว เป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และส่งผลดีต่อการบริโภคสินค้าอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง 

การเข้าสู่ช่วง ไฮซีซั่น ส่งผลเชิงบวกต่อการบริโภคสินค้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น สำหรับการจำหน่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี และก่อนวันหยุดยาวในเดือนธันวาคม 

ในส่วนของภาคการค้า การเจรจาการค้าเพื่อขยายตลาดส่งออกไทย อาทิ การค้าข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government-to-Government หรือ G2G) กับจีน (ปริมาณ 5 แสนตัน) และสิงคโปร์ (ปริมาณ 1 แสนตัน) มีส่วนช่วยขยายตลาดส่งออกให้เกษตรกร ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มรายได้และกำลังซื้อในระดับภูมิภาค 

นอกจากนี้ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569  (ณ 1 ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน 2568) อยู่ที่ 24.18% จากเป้าหมาย 33% ในไตรมาส 1 ยังช่วยให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และสนับสนุนการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม

ปัจจัยลบรุมเร้า: ปะทะชายแดน-ยุบสภาซ้ำเติม

อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยลบที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดเข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ ได้แก่:

1. การปะทะชายแดนรอบ 2: การปะทะที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ แม้ว่าด่านชายแดนจะปิดและยอดซื้อขายเหลือเพียง 0.5% (หายไป 99.5%) ตั้งแต่การปะทะครั้งที่ 1 แล้ว

แต่การปะทะรอบ 2 ได้สร้างผลกระทบภายในประเทศเพิ่มเติม ทำให้เกิดความชะงักงันในการทำงาน การเรียน การให้บริการในภาคเกษตรกรรม และโรงงานอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลงในบางนิคม นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร หากสถานการณ์ยืดเยื้อเกินกว่าหนึ่งเดือน อาจกลายเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

2. อุทกภัย: น้ำท่วมในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงแม้จะนับรวมไปแล้ว แต่การฟื้นฟูก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปในไตรมาสนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

3. ความไม่แน่นอนทางการเมือง: การยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม เป็นอีกปัจจัยที่น่ากังวล เนื่องจากมาตรการ Quick Big Win หลายตัวที่เป็นซีรีส์ต่อเนื่องอาจไม่สามารถทำต่อได้ ทำให้มาตรการที่คาดว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้เครื่องติดต้องสะดุดลง

เศรษฐกิจไทยปี 69 ยังติดหล่ม แม้กนง.ลดดอกเบี้ย แนะ SME ช่วยตัวเอง เกรียงไกร เธียรนุกุล

เศรษฐกิจปี 69 น่าเป็นห่วงหนัก คาด GDP โตเพียง 1.6%

สำหรับปี 2569 สถานการณ์เศรษฐกิจน่าเป็นห่วงมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่า GDP ไทยในปีหน้าจะเหลือประมาณ 1.6% ถึง 2% สาเหตุสำคัญมาจากการที่เศรษฐกิจโลกหดตัว โดยปีนี้ GDP โลกอยู่ที่ 3.2% แต่คาดการณ์ล่าสุด สำหรับปีหน้าจะเหลือเพียง 3.1% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าปีนี้

สัญญาณของการหดตัวนี้เห็นได้ชัดเจนจากราคาน้ำมันและพลังงานที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปสงค์และความต้องการใช้ ลดลงทั่วโลก ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง การหดตัวของเศรษฐกิจโลกจึงส่งผลกระทบอย่างมาก ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องเร่งหามาตรการช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดเพื่อประคับประคองสถานการณ์

วอนรัฐคุมเข้ม "สินค้าเถื่อน" หนุนจัดซื้อจัดจ้าง Made in Thailand

เกรียงไกร กล่าวว่า ปัญหาสินค้าเถื่อนที่ทะลักเข้ามาจากทุกทิศทาง ไม่ได้ลดลงเลย และมีแนวโน้ม "ยิ่งพูด ยิ่งเพิ่ม" ผู้รับผิดชอบทุกฝ่ายถูกขอให้รับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจังและ "อย่าล้อเล่น"

ภาคเอกชนได้เสนอให้มีการกระตุ้นการจัดซื้อจัดจ้างภายในประเทศ (Made in Thailand ) โดยเสนอให้บรรจุเรื่องนี้ เข้าไปอยู่ในแพ็คเกจ Quick Big Win โดยหวังว่าหน่วยงานภาครัฐจะมีตัวชี้วัดผลงาน ในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผ่านสัญลักษณ์ Made in Thailand ของสภาอุตสาหกรรมฯ

การดำเนินการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ของคนไทยที่ผลิตภายในประเทศ ให้มีเม็ดเงินหมุนเวียน มีสภาพคล่อง และนำไปสู่การสร้างงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต้อง "ช่วยตัวเองก่อน"

ข่าวล่าสุด

ปชน. ยัน! เลือกตั้ง 69 ส่งครบ 400 เขต 100 บัญชีรายชื่อ ติวเข้มนโยบาย