ภาพลักษณ์ประเทศสำคัญ? ’สแกมเมอร์’ ทำพิษ ‘กัมพูชา’! ดีลยักษ์ Trip.com จึงต้องล้ม
ภาพลักษณ์ประเทศสำคัญไฉน? ’สแกมเมอร์’ ทำพิษ ‘กัมพูชา’! ดีลยักษ์ Trip.com จึงต้องล้ม
KEY
POINTS
- ภาพลักษณ์ของประเทศกัมพูชาในฐานะศูนย์กลางของแก๊งสแกมเมอร์ได้สร้างผลกระทบเชิงลบต่อความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ
- Trip.com บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ถูกกดดันจนต้องประกาศระงับข้อตกลงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับกัมพูชาหลังลงนามได้เพียง 16 วัน
- สาเหตุหลักเกิดจากกระแสต่อต้านของผู้ใช้งานชาวจีนและไทย ที่กังวลว่าข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลไปยังแก๊งสแกมเมอร์จนพากันลบบัญชีผู้ใช้
การสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชา ที่จนป่านนี้แล้วยังไม่มีใครออกมาพูดมูลฐานที่แน่ชัดของการ ‘ยั่วยุ’ เพื่อให้เกิดการสู้รบ!
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้หนีไม่พ้นประเด็น ‘ผลประโยชน์’
นักวิชาการทางฝั่งตะวันตก หรือแม้แต่นักวิชาการฝั่งไทยเอง ก็มองและชี้ชัดเป็นเสียงเดียวกันว่า
หนึ่งในปัญหาที่ซุกซ่อนใต้ระเบิดคือ ‘สแกมเมอร์' ซึ่งเป็นขุมทรัพย์เศรษฐกิจใต้ดินอันมหาศาลของ ‘กัมพูชา’
กัมพูชาถูกกล่าวหาไม่ใช่แค่จากประเทศไทย แต่ก่อนหน้านั้นหากจำได้คือ ‘เกาหลีใต้’ ซึ่งได้ลงพื้นที่ปฏิบัติการช่วยตัวประกันด้วยตัวเอง รวมไปถึงมีการสั่งห้ามพลเมืองเดินทางไปยังบางพื้นที่ของกัมพูชา จากปัญหาดังกล่าว
รวมไปถึง ‘สิงคโปร์’ ที่ได้ร่วมมือกับตำรวจกัมพูชาทลายสแกมเมอร์ในกัมพูชาหลายคดี และที่หนักหน่วงกว่าคือ ‘จีน’ ที่มีปฏิกิริยาไม่เอาสแกมเมอร์อย่างเด็ดขาด!
เด็ดไปกว่านั้นคือในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา รายงานข่าวกรองระหว่างประเทศและของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ยืนยันว่ากัมพูชากลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับปฏิบัติการฉ้อโกงทางไซเบอร์ แผนที่ของ UNODC ระบุอย่างชัดเจนว่ามีศูนย์กลางการหลอกลวงหลายแห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สีหนุวิลล์ ซึ่ง UNODC ระบุว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา
นอกจากนี้ เมืองชายแดนอย่างปอยเปตที่อยู่ตรงข้ามอำเภออรัญประเทศของไทย ก็กลายเป็นฐานยุทธศาสตร์สำหรับเครือข่ายอาชญากรที่ต้องการเจาะตลาดไทย
ที่สำคัญคือ UNODC รายงานว่าอุตสาหกรรมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพื้นที่ชายแดน แต่ได้ขยายตัวเข้าสู่กรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศด้วย!
สอดคล้องกับการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง CNN ที่มองการสู้รบครั้งนี้ และรายงานออกมาเต็มๆ ว่า ไทยเล็งเป้าเล่นงานศูนย์สแกมเมอร์ต่างๆ ภายในกัมพูชา
CNN ยังรายงานอีกว่า คาสิโนแห่งหนึ่งในจังหวัดโพธิสัตว์ เป็นของนายตรี พรีบ (Try Pheap) เศรษฐีกัมพูชา เป็นหนึ่งในหลายๆคาสิโนที่ถูกไทยทิ้งระเบิดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับฮุนเซน
จนทำให้ปฏิกิริยาการโจมตีศูนย์สแกมเมอร์ของไทย ภายใต้ภาพการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา แทบจะไม่เห็นปฏิกิริยาย้อนศรจากทางฝั่งประเทศมหาอำนาจ เพียงแต่เป็นการรักษาสมดุลเชิงอำนาจ
ทั้งนี้ ปฏิกิริยาที่มากที่สุด คือ ปฏิกิริยาของทรัมป์ ซึ่งอาจจะขัดใจคนไทยสักหน่อย กับปฏิกิริยาสัมภาษณ์ล่าสุดที่ออกมาพูดว่า
“ ปัญหาไทยและกัมพูชา ยังมีปัญหาเล็กน้อยและแก้ได้แล้ว”
ขณะที่จีนเองก็ได้ออกมาแถลงเช่นกันโดยระบุว่า
“ กัมพูชาและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีเป็นสมบัติของชาติ”
แต่ในทางกลับกันหากเป็นกัมพูชา ที่ถูกระเบิดและโจมตีอย่างหนักหน่วง คงต้องเอ๊ะแล้ว
เพราะการบอกว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย หรือบอกว่าไปเคลียร์กันเองนะเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน ตัดไม่ขาดหรอก
แบบนี้เรียกว่าแทบจะไม่มีชาติมหาอำนาจไหนกระโดดมาเล่นด้วยอย่างเต็มตัว!
ประกอบกับเมื่อมาถึงวันนี้กระแสว่าการสู้รบชายแดนจะกลายเป็น Proxy War หรือ สงครามตัวแทนของมหาอำนาจ หรือไม่นั้น? นักวิชาการหลายคนก็ออกมาพูดว่าคงไม่ถึงขั้นนั้นได้!
จากภาพลักษณ์ระดับประเทศ สู่ผลกระทบทางธุรกิจ!
ล่าสุด! ไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาจากทางฝั่งรัฐบาลของแต่ละประเทศที่ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวเท่านั้น
ปัญหา ‘สแกมเมอร์ในกัมพูชา’ ได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่และสะเทือนไปถึงภาคธุรกิจเช่นกัน!
เคสตัวอย่างที่สำคัญ ซึ่งเพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ คือ Trip.com ได้ประกาศยกเลิกข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของกัมพูชา หลังจากมีรายงานว่าผู้ใช้งานชาวจีนและชาวไทยแสดงความกังวลว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของตนอาจถูกรั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
หลังจากเพิ่งเข้าไปลงนามข้อตกลงเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 นี้เท่านั้น
ความร่วมมือดังกล่าว จุดชนวนความไม่พอใจในหมู่ชาวจีนก่อน เพราะก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับความหวาดกลัว เมื่อมีคนจีนหลายคนถูกชักชวนมาทำงานให้กับสแกมเมอร์อย่างรู้เท่าไม่ถึงการ
หลายคนได้แสดงความเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่าพวกเขาวางแผนที่จะลบบัญชีผู้ใช้งานบน Ctrip (บริษัทแม่ของ Trip.com) เนื่องจากเกรงว่าข้อมูลส่วนบุคคลของตนอาจถูกขายหรือถูกส่งต่อไปยังแก๊งสแกมเมอร์ที่ปฏิบัติการอยู่ในกัมพูชา
ชาวเน็ตจีนหลายรายได้แชร์ภาพหน้าจอที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้ลบบัญชี Ctrip ของตนเองทิ้งแล้ว โดยผู้ใช้งานรายหนึ่งเขียนระบุว่า
"ฉันยกเลิกบัญชี Ctrip เมื่อคืนนี้หลังจากใช้งานมานานถึง 8 ปี ฉันยอมจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินที่แพงกว่า ดีกว่าต้องมารับสายโทรศัพท์หลอกลวงจากกัมพูชา”
ต่อมา ความขัดแย้งดังกล่าวได้แพร่กระจายมาถึงประเทศไทย โดยผู้ใช้งาน Trip.com ในประเทศไทยจำนวนมากเริ่มลบบัญชีและลบแอปพลิเคชันออกจากโทรศัพท์มือถือ หลังจากทราบข่าวเรื่องการเป็นพันธมิตรดังกล่าว
เพราะกังวลว่า ‘ข้อมูลส่วนตัวจะหลุดรอดไปสู่กัมพูชา’ ซึ่งเป็นแหล่งสแกมเมอร์นั่นเอง!
ความกังวลในสังคมกดดันจนทำให้ Trip.com ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงอย่างเป็นทางการ และประกาศระงับความร่วมมือกับกัมพูชาหลังจากเซ็นต์สัญญาไปได้แค่ 16 วัน!
โดยในแถลงการณ์ของ Trip.com ประเทศไทย เน้นย้ำว่า ข้อตกลงกับกัมพูชานั้นมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่านั้น และบริษัทได้ลงนามในความร่วมมือทางการตลาดในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนี้กับหน่วยงานการท่องเที่ยวในอีกหลายประเทศ
Trip.com เสริมว่า บริษัทให้ความสำคัญกับความไว้วางใจและความกังวลของผู้ใช้งานเป็นอันดับแรก จึงตัดสินใจระงับความร่วมมือดังกล่าว พร้อมปฏิเสธข่าวลืออย่างหนักแน่นว่า ไม่มีการแลกเปลี่ยนหรือขายข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ตามที่ระบุในข้อตกลง
…..
ภาพลักษณ์ 'ประเทศ' คือ สิ่งที่ 'บริษัท' นึกถึง
จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ‘กัมพูชา’ กำลังเผชิญกับอะไร?
แน่นอนว่าธุรกิจต้องอาศัย ‘ภาพลักษณ์’ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแก่ผู้บริโภค
ความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส ความไว้วางใจเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำธุรกิจที่ยั่งยืน
แต่ ‘กัมพูชา’ ณ วันนี้ที่มีภาพลักษณ์ ‘สแกมเมอร์’ ติดมาด้วย
จึงเห็นกระแสต่อต้านจากสังคมโลกอย่างรุนแรง
นี่นับได้ว่าเป็นความสูญเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศในแบบที่กู้คืนกลับมาได้ยากนัก
หนักไปกว่านั้นคือ สถานการณ์ขณะนี้ จากกรณี Trip.com ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า
ภาคธุรกิจหรือนักลงทุนที่เข้าไปทำสัญญากับกัมพูชา ถูกตั้งคำถามไปด้วยว่า
ทำไมถึงร่วมมือ? ร่วมมืออะไร? และข้อมูลส่วนบุคคลจะหลุดไปหรือไม่
โดยชาวโลกข้าม ‘ข้อเท็จจริงของการดีลธุรกิจไปแล้ว’
แต่เมื่อพูดถึงความร่วมมือกับ ‘กัมพูชา’ ทุกคนจะกังวลในทันที
เรื่องนี้กระทบกับภาพลักษณ์ของธุรกิจอย่างสูง จนทำให้ตัดสินใจระงับข้อตกลงในที่สุด!
…
เปรียบ ‘กัมพูชา’ เป็นบริษัทหนึ่งที่มีผลิตภัณฑ์ ส่วนนักลงทุนและนักธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ ก็คือผู้บริโภค
ถ้าเป็นเหตุการณ์นี้ ธุรกิจย่อมต้องออกแถลงการณ์ และกระทำทุกสิ่งเพื่อดึงความมั่นใจและความไว้ใจของผู้บริโภคกลับมา .. รวมไปถึงแก้ไขภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ หากอยากจะขายต่อได้ยาวๆ
แต่ดูเหมือนว่าปัญหานี้ 'หยั่งรากลึก' และต้องใช้พลังและระยะเวลายาวนานกว่าจะดึงภาพลักษณ์ที่ดีกลับมาได้
ย้ำว่าถ้า 'กัมพูชา' อยากจะทำ
ท้ายนี้ ไม่ใช่แค่ ‘กัมพูชา’ ถูกประทับแบรนด์ไว้อย่างไร?
นี่จะเป็นเคสตัวอย่างให้แก่ 'นักการเมือง' และผู้ที่นำประเทศชาติไปแสวงหาผลประโยชน์ใน 'ประเทศไทย' ด้วยเช่นกัน
ว่าอยากจะให้ 'ประเทศไทย' ประทับแบรนด์ไว้อย่างไร?


