posttoday

จากห้องเรียนแฟชั่นมิลาน สู่แบรนด์เครื่องหนังไทย ‘TWINEHIDE’

15 ธันวาคม 2568

แฟชั่นไม่จำเป็นต้องเริ่มจากความถนัด แต่เริ่มจากการเรียนรู้ เรื่องราวของ "ทฤนห์ รุ่งสมัยทอง" จากคลาสแฟชั่นในมิลาน สู่การสร้างแบรนด์เครื่องหนังไทย TWINEHIDE

“การทำธุรกิจไม่ใช่แค่ทำของออกมาขาย มีคนซื้อ ได้เงิน แล้วจบ”

 

ประโยคสั้น ๆ นี้สะท้อนมุมมองของ ทฤนห์ รุ่งสมัยทอง Co-Founder และ Chief Strategic Officer ของแบรนด์เครื่องหนังไทย TWINEHIDE ได้อย่างชัดเจน

 

สำหรับเขา การเติบโตของธุรกิจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารหยุดเรียนรู้

 

ทฤนห์ คือ นักธุรกิจรุ่นใหม่วัยยี่สิบปลาย ๆ ที่เริ่มต้นเส้นทางแฟชั่นเมื่อราว 3 ปีก่อน ร่วมกับพี่น้องอีกสองคนในครอบครัว ทำแบรนด์ ตามที่โพสต์ทูเดย์ได้นำเสนอเรื่องราวของเขาไปแล้วก่อนหน้านี้ https://www.posttoday.com/smart-sme/732077

 

แม้จะทำธุรกิจแฟชั่น แต่เขากลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ตัวเองไม่ใช่คนแต่งตัวเก่ง และไม่ได้อินกับงานศิลปะแฟชั่นมากนัก

 

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อด้าน Fashion Management ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมืองหลวงแห่งแฟชั่นระดับโลก เพื่อทำความเข้าใจ “การสร้างแบรนด์” จากต้นทาง และใช้ชีวิตท่ามกลางโลกแฟชั่นอย่างแท้จริง

 

 

จากห้องเรียนแฟชั่นมิลาน สู่แบรนด์เครื่องหนังไทย ‘TWINEHIDE’
วันที่ฮู้ดดี้ธรรมดา เจอกับโลกแฟชั่นจัดเต็ม

วันแรกในคลาสเรียนที่มิลาน ทฤนห์ปรากฏตัวด้วยเสื้อฮู้ดดี้เรียบ ๆ กับกางเกงยีนส์ ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นที่แต่งตัวจัดจ้านราวกับเพิ่งเดินออกมาจากแฟชั่นวีค

 

“ทุกคนในคลาสคือเด็กที่รักแฟชั่นจริง ๆ บางคนจบแฟชั่นดีไซน์มาโดยตรง แต่งตัวกันเต็มมาก ส่วนผมเดินเข้าไปด้วยฮู้ดดี้ตัวเดียว” เขาเล่าย้อนความทรงจำ พร้อมยอมรับว่าช่วงแรกไม่ง่ายเลย เพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวเต็มไปด้วยคนที่อินกับแฟชั่นอย่างลึกซึ้ง

จากห้องเรียนแฟชั่นมิลาน สู่แบรนด์เครื่องหนังไทย ‘TWINEHIDE’

 

แต่หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของการเรียนที่มิลาน คือคำพูดจากเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่ง

 

“ฉันเห็นนะว่านายมีสไตล์ของตัวเอง แต่นายอาจยังไม่ได้แสดงมันออกมา ถ้านายอยากอยู่ในสายนี้จริง ๆ ลองพรีเซนต์ตัวเองให้เข้ากับแบรนด์ที่นายอยากเป็นสิ”

 

คำพูดนั้นทำให้ทฤนห์มองแฟชั่นในมุมใหม่ ไม่ใช่การฝืนเปลี่ยนตัวตน แต่คือการเรียนรู้ที่จะ “เปิดเผย” ตัวตน และสื่อสารมันออกมาให้ชัดเจน

 

แม้เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุโรป แต่กลุ่มที่เขาสนิทจริง ๆ กลับเป็นเพื่อนจากไต้หวันและเกาหลี ซึ่งล้วนมีสไตล์ชัดเจนและเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

“พวกเขาสอนผมหลายอย่าง ทั้งการแต่งตัว การวางตัว ไปจนถึงการพูดคุยกับผู้คนในวงการแฟชั่น ประสบการณ์ทั้งหมดนั้น ผมนำมาใช้ต่อทั้งในชีวิตและธุรกิจของตัวเองจนถึงวันนี้”

 

แฟชั่นไม่มีกรอบตายตัว

พอเรียนไปสักระยะ เขาบอกว่า เริ่มซึมซับและเข้าใจว่าแฟชั่นไม่ใช่สิ่งที่มีกรอบตายตัว แต่มันคือการแสดงออกถึงตัวตนในแบบของเราเอง

 

"สไตล์ที่ผมเลือกใส่ แม้จะเรียบง่าย ก็ยังเป็นแฟชั่นของผม ผมแค่เริ่มเลือกแต่งตัวให้ดู presentable มากขึ้น และเลือกสิ่งที่สะท้อนตัวตนได้ดีที่สุด”

จากห้องเรียนแฟชั่นมิลาน สู่แบรนด์เครื่องหนังไทย ‘TWINEHIDE’

สำหรับทฤนห์ แฟชั่นคือ ‘เครื่องมือในการสื่อสาร’ อย่างหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเองว่าต้องแต่งตัวแบบไหนเสมอไป แต่สามารถเลือกได้ว่าอยากให้คนอื่นมองเราอย่างไร และใช้การแต่งกายเป็นภาษาหนึ่งในการสื่อสารตัวตนนั้นออกไป

 

“เมื่อเข้าใจตรงนี้มากขึ้น ผมก็เริ่มมองว่าแฟชั่นคือองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารแบรนด์เช่นกัน ถ้าเราอยากให้แบรนด์มีภาพลักษณ์หรือให้ความรู้สึกแบบไหน ทุกองค์ประกอบต้องถูกออกแบบให้สื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน”

 

ซึมซับวัฒนธรรมแฟชั่น จากมิลานสู่โลกเครื่องหนัง

ทั้งนี้ เขาบอกว่าไปเรียนอยู่ประมาณหนึ่งปี แล้วตัดสินใจอยู่ต่ออีกครึ่งปี เพื่อซึมซับบรรยากาศและเรียนรู้วัฒนธรรมของที่นั่นให้มากขึ้น”

 

จากห้องเรียนแฟชั่นมิลาน สู่แบรนด์เครื่องหนังไทย ‘TWINEHIDE’

ทฤนห์เล่าว่า เหตุผลสำคัญที่เลือกใช้ชีวิตในอิตาลีนานกว่าหลักสูตร ไม่ใช่แค่เรื่องการเรียนในห้อง แต่เพราะต้องการทำความเข้าใจ ‘ราก’ ของอุตสาหกรรมแฟชั่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะงานเครื่องหนัง ซึ่งอิตาลีถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางระดับโลก ไม่แพ้ฝรั่งเศส

 

“จริง ๆ แล้วแบรนด์ฝรั่งเศสหลายแบรนด์ก็มาผลิตในอิตาลีกันเยอะมาก เพราะช่างฝีมือด้านหนังของที่นี่ โดยเฉพาะแถบฟลอเรนซ์ เก่งมาก โรงงานรองเท้าและโรงงานเครื่องหนังขนาดใหญ่ก็อยู่ในโซนนั้นเยอะ ผมเลยรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้ไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของทั้งแฟชั่นและเครื่องหนังแบบนี้”

 

Networking ที่ไม่มีในตำราเรียน

นอกเหนือจากองค์ความรู้ในคลาสเรียน สิ่งที่ทฤนห์มองว่ามีคุณค่าไม่แพ้กัน คือการได้สร้างเครือข่ายและเรียนรู้จากผู้คนในวงการจริง

 

“มันเป็นช่วงที่ได้ networking เยอะมาก เราได้เรียนรู้วิธีการพูดคุยกับคนในวงการแฟชั่น ว่าเขาสื่อสารกันอย่างไร การทำแบรนด์มันไม่ได้มีแค่เรื่องดีไซน์ แต่ยังมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน”

 

การได้พบปะ พูดคุย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนในแวดวง ทำให้เขาเข้าใจอุตสาหกรรมแฟชั่นในมิติที่ลึกขึ้น คล้ายกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงมากกว่าทฤษฎีในห้องเรียน

จากห้องเรียนแฟชั่นมิลาน สู่แบรนด์เครื่องหนังไทย ‘TWINEHIDE’

 

“มันสนุกมากครับ สนุกจริง ๆ”

 

เปิดโลกวัตถุดิบ กับเวทีเทรนด์ระดับโลก

อีกหนึ่งประสบการณ์สำคัญระหว่างเรียนที่มิลาน คือการได้เข้าชมงานแสดงสินค้าวัสดุเครื่องหนัง ซึ่งเป็นเวทีรวมซัพพลายเออร์จากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และอิตาลี

 

งานดังกล่าวเป็นพื้นที่โชว์เคสหนังและวัสดุต่าง ๆ พร้อมเปิดเผยเทรนด์แฟชั่นสำหรับปีถัด ๆ ไป ทั้งในแง่ของโทนสี ประเภทหนัง และการพัฒนาวัสดุใหม่ ๆ โดยจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง

 

“ผมไปดูทั้งเทรนด์สี และประเภทของหนังที่กำลังจะมา มันช่วยให้เราเห็นภาพล่วงหน้า และเข้าใจทิศทางของอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งสำคัญมากสำหรับการทำแบรนด์”

 

ทำธุรกิจในวัยยี่สิบ โตจากความไม่ถนัด

เมื่อกลับมาสู่บทบาทผู้บริหารธุรกิจอย่างเต็มตัว ทฤนห์ยอมรับว่าการทำธุรกิจในวัยยี่สิบปลาย ๆ เต็มไปด้วยความท้าทาย

 

“เรายังไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก ทำงานมา 3–4 ปี อาจพอเห็นภาพรวม แต่พอต้องมาคุมทุกอย่างเองจริง ๆ มันต่างออกไปเลย”

 

หลายเรื่องคือสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จากเดิมที่เคยมีหัวหน้าคอยกำกับ วันนี้เขาต้องตัดสินใจเองทั้งหมด ต้องลองผิดลองถูก และเรียนรู้ไปพร้อมกันทุกวัน

จากห้องเรียนแฟชั่นมิลาน สู่แบรนด์เครื่องหนังไทย ‘TWINEHIDE’

“มันยากนะครับ แต่ก็สนุกมากเหมือนกัน เพราะเราได้เรียนรู้ตลอดเวลา”

 

และในบางช่วง การเติบโตก็หมายถึงการยอมออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง

 

“บางจังหวะเราต้องกล้ากระโดดออกจากคอมฟอร์ตโซน มานั่งทำในสิ่งที่ไม่ถนัด มันเหนื่อยบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าได้โตขึ้นจริง ๆ”

 

 

 

ข่าวล่าสุด

ฮ่องกงเตรียมใช้หุ่นยนต์สุนัข ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเพื่อขจัดยุงลาย