


3+




TWINEHIDE ก้าวแรกของการเติบโต อยากเห็นคนใช้แบรนด์ไทยแล้วภูมิใจ
คุยกับ ทฤนห์ รุ่งสมัยทอง จาก ทไวน์ไฮด์ TWINEHIDE ก้าวแรกของการเติบโต ในโลกแฟชั่นเครื่องหนัง อยากเห็นคนถือแบรนด์ไทยแล้วภูมิใจเหมือนถือแบรนด์เนม
KEY
POINTS
- TWINEHIDE ก้าวแรกของการเติบโต ในโลกแฟชั่นเครื่องหนัง อยากเห็นคนถือแบรนด์ไทยแล้วภูมิใจ
- ทฤนห์ รุ่งสมัยทอง หนึ่งในผู้ก่อตั้ง เล่าเบื้องหลังไอเดียงานทุกชิ้นมาจากความประณีต ตัดเย็บด้วยมือ และวัสดุหนังแท้จากอิตาลี
- ตั้งเป้าภายในปี 2027 เตรียมเปิดหน้าร้าน ขยายฐานลูกค้า
บนหน้าฟีดโซเชียลมีเดีย เรามักจะเห็นภาพสวย ๆ ของ ทไวน์ไฮด์ (TWINEHIDE) แบรนด์เครื่องหนังสัญชาติไทย ที่เต็มไปด้วยดีไซน์เรียบเท่ และงานคราฟต์ละเมียดละไม แต่ใครจะรู้ว่าที่มาที่ไปของแบรนด์เกิดจาก “สามพี่น้อง” ที่เริ่มทำธุรกิจกันตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ แต่ทว่าทั้งสามมีความชอบในงานศิลปะ จึงตกลงร่วมกันสร้างแบรนด์ขึ้นมาในปี 2021 โดยหัวใจสำคัญของทไวน์ไฮด์คือวัสดุที่ใช้เป็น “หนังแท้” ที่นำเข้าจากอิตาลี และสินค้าทุกตัวผ่านกระบวนการอย่างประณีตทุกขั้นตอน ตามคำบอกเล่าของผู้ก่อตั้งแบรนด์
โพสต์ทูเดย์ มีโอกาสนัดพบกับ กีตาร์–ทฤนห์ รุ่งสมัยทอง Co-Founder และ Chief Strategic Officer ของ TWINEHIDE ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพื่อฟังเรื่องราวเบื้องหลังการตัดสินใจสร้างแบรนด์ และความฝันของคนรุ่นใหม่ที่กำลังถักร้อยเรื่องราวผ่านงานหนังแต่ละชิ้น
จากงานคราฟต์ที่ทำเป็นงานอดิเรก สู่ลงมือจริง
โดย กีตาร์-ทฤนห์ เปิดบทสนทนาด้วยการเล่าให้ฟังว่า น้องชายของเขาเป็นคนชอบศิลปะ ชอบกล้องฟิล์ม วันหนึ่งเขาซื้อกล้องมา และต้องการสายคล้องกล้องที่มากกว่าสายสำเร็จรูปทั่วไป จึงลองถักเชือกเพื่อทำสายคล้องกล้องเอง ตอนแรกทำเพื่อการใช้งาน ต่อมาเริ่มทำให้สวยงามขึ้น ทำไปทำมาด้วยความชอบงานคราฟต์เป็นทุนเดิม จึงลองทำเป็นงานอดิเรก จนกระทั่งน้องสาวคนเล็กจุดไอเดียว่า “ลองทำขายดูไหม” นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มสร้างแบรนด์ที่เป็นงานคราฟต์ขึ้นมา
โดยที่สินค้าของแบรนด์เริ่มจากของชิ้นเล็กอย่าง Card holder และ Wallet ก่อนจะขยับสู่ Handbag ซึ่งแต่ละคอลเลกชันจะมีช่วงราคาที่ต่างกัน อย่าง Card holder จะอยู่ประมาณพันต้น ๆ ถึงสองพันบาท ส่วนกระเป๋าใบใหญ่จะอยู่ตั้งแต่หลักหมื่นกลาง ๆ ไปจนถึงสองหมื่นกว่า ยิ่งใบใหญ่ เราใช้หนังสองด้าน ใช้เทคนิคมากขึ้น ก็ใช้เวลาและฝีมือมากขึ้นตามไปด้วย
เริ่มแรกทำเพื่อให้เพื่อนๆ คนรู้จัก ลองเอาไปใช้ ซึ่งปรากฏว่าผลตอบรับดี จึงค่อย ๆ ขยายวงออกไปเริ่มจากออนไลน์ และพยายามหาโอกาสออกไปเจอลูกค้าด้วยตนเอง ไปออกบูธตามงานอีเวนต์ต่าง ๆ ให้คนได้เห็น ได้สัมผัส ได้คุยกับเราโดยตรง ลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นคนไทย เป็นกลุ่ม First Jobber ที่ต้องการงานดีไซน์ที่บ่งบอกตัวตนของเขา
“ถ้าพูดถึงเรื่องของงานคราฟต์ งานแฮนด์เมดคนจะติดภาพว่าเป็นงานโอท็อป และยิ่งเป็นงานหนังแฮนด์เมดคนจะตั้งคำถามว่าแล้วมันดีกว่าแบรนด์อื่นๆยังไงบ้าง งานของเราเป็นแฮนด์เมดจริง แต่ในคำว่าแฮนด์เมดไม่ได้หมายถึงการทำด้วยมือเพียงอย่างเดียว มันคือความตั้งใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกวัสดุไปจนถึงเทคนิคการเย็บแต่ละฝีเข็ม เราไม่ได้เน้นว่าจะต้องทำเองทุกชิ้น แต่เราโฟกัสที่ process มากกว่า เราเลือกหนัง เลือกวัสดุ เลือกแหล่งที่มีคุณภาพ แล้วใช้เทคนิคที่เหมาะกับงานนั้นจริงๆ เพราะเราอยากให้งานแต่ละชิ้น มันเหมือนงานศิลปะ"
กีตาร์ เล่าต่อว่า เทคนิคการเย็บของทไวน์ไฮด์ไม่เหมือนการเย็บจักรทั่วไป เพราะทุกใบจะผ่านการ เย็บมือ ซึ่งการเย็บมือมันช้าแต่มันสวยกว่า เราจะเลือกว่าจะใช้รูแบบกลม หรือรูเอียง ซึ่งจะให้เส้นด้ายและฟีลของงานที่ต่างกันออกไป รูเอียงจะให้ความรู้สึกคลาสสิก มีมิติ ส่วนรูตรงก็จะเรียบ เท่ และมินิมอล เรามองว่าหนังแต่ละชิ้นมีชีวิตของมันเอง หน้าที่ของเรา คือร้อยเรียงหนังเหล่านั้นให้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน
นำเข้าหนังแท้จากอิตาลี
ในส่วนของวัสดุหนัง กีตาร์บอกว่า ทางแบรนด์ใช้หนังอิตาลี ซึ่งเป็นตัวที่ฟอกที่โรงฟอกในอิตาลีเลย โดยมีซัพพลายเออร์คนไทยนำเข้า เหตุผลที่เลือกใช้หนังจากอิตาลี เพราะเป็นหนังเกรด full grain ซึ่งคือหนังทั้งชั้นแรกสุด อาจจะมีร่องรอยตามธรรมชาติ เช่น รอยขน รอยที่เกิดจากการเดินไปเกี่ยว กิ่งไม้ รวมถึงรอยย่น ซึ่งหนังจะไม่เท่ากันทั้งผืน
หนังที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่จะเป็น หนังฟอกฝาด คือการใช้สารจากธรรมชาติ เช่น สารจากต้นไม้ รากไม้ หรือผลไม้ ในการ process หนังฟอกฝาดจะช่วยให้หนังคงสภาพความเป็นธรรมชาติไว้ และสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน หนังฟอกฝาดสามารถมีไขมันออกมาได้ และเกิดกระบวนการที่เรียกว่า patina (ร่องรอยการใช้งาน หรือการเปลี่ยนสภาพ) ซึ่งจะทำให้หนังดูเข้มขึ้นและมันขึ้น เช่นเดียวกับกระเป๋าหนังคาวบอย
ทางแบรนด์มีหนังหลักๆ 2 ชนิด สำหรับการปรับแต่งสินค้า (Customization) คือ Buttero, Pueblo ทั้งสองชนิดเป็นหนังของอิตาลีที่มาจากโรงฟอกคนละแห่ง ซึ่งมีเท็กซ์เจอร์ สัมผัส และคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน หนัง Pueblo ในช่วงแรกจะรู้สึกแข็งๆ นิดหน่อย แต่พอใช้ไปแล้วก็จะนุ่มขึ้นเอง นอกจากนี้ยังมีการใช้หนังพิเศษ คือ Shell Cordovan ที่ค่อนข้างพิเศษและหายาก
เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่คนจะนึกถึงทไวน์ไฮด์
กีตาร์เล่าว่า ทไวน์ไฮด์ยึดถือ ความจริงแท้ (realness) และการเป็นตัวของตัวเอง สำหรับแบรนด์แล้ว กระเป๋าแต่ละใบไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเป๊ะ สิ่งสำคัญคือ สะท้อนตัวตนของผู้ใช้ ผ่านรอย สัมผัส และการเปลี่ยนแปลงของหนังตามกาลเวลา
“หนังแต่ละใบไม่เหมือนกัน เหมือนกับคนที่ไม่มีใครเหมือนใคร”
นอกจากนี้ยังชอบให้ลูกค้าสามารถ ปรับแต่งงานได้ตามใจ เพราะอยากให้ทุกคนรู้สึกว่า สิ่งที่ถืออยู่คือของของตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่ของที่ออกจากสายพานผลิตแบบเดียวกันทุกชิ้น
อย่างไรก็ตาม กีตาร์ เผยว่า แม้โลกธุรกิจจะขับเคลื่อนด้วยออนไลน์ แต่เป้าหมายต่อไปของทไวน์ไฮด์ คือการมีหน้าร้านแรกของแบรนด์ ตอนนี้เราวางแผนไว้ว่าอยากเปิดสโตร์ภายในหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า หรือไม่เกินปี 2027 เพราะเชื่อว่าผู้ที่ชื่นชอบงานหนัง เขาต้องการที่จะสัมผัสของจริง นับว่าเป็นก้าวต่อไปที่แบรนด์จะไปให้ถึงตรงนั้น
ทีมครอบครัวเป็นหนึ่งเดียวของธุรกิจ
ทั้งนี้ กีตาร์ บอกว่า พวกเขาตั้งใจทำแบรนด์มาก แม้จะเป็นทีมเล็ก โดยน้องชายคนกลางเป็นคนลงมือทำจริง เป็นหัวใจของ production ดูตั้งแต่การออกแบบ แพตเทิร์น ไปจนถึงการเย็บและประกอบทุกชิ้น
“น้องชายเป็นคนที่อยู่กับหนังมากที่สุด คุยกับดีไซเนอร์ ออกแบบ ลองผิดลองถูก แล้วก็ลงมือทำด้วยตัวเองทั้งหมด”
ส่วนน้องสาวคนเล็กรับหน้าที่ดูด้านคอมมิวนิเคชันและประสานงานต่าง ๆ ควบคู่กับการเรียนด้าน Data Science ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญของแบรนด์
กีตาร์เองในฐานะพี่ชายคนโต เรียนจบด้าน Marketing มา จะมีหน้าที่หลักของคือการวางกลยุทธ์ แผนธุรกิจ และมองภาพรวมของแบรนด์ ซึ่งตัวเขาเองจริงๆ ไม่ได้มีความรู้ด้านแฟชั่น หรืองานศิลปะเลย แต่อาศัยการเรียนรู้ศึกษา และต่อยอดด้วยการเรียน Fashion Management ที่มิลาน แล้วนำมาปรับใช้กับแบรนด์
การทำงานทีมพี่น้อง เขามองว่าเป็นสิ่งที่ลงตัวมาก เรามักจะนั่งปรึกษา พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และนอกจากทีมพี่น้องแล้ว ยังมีที่ปรึกษาคนสำคัญอีกหนึ่งคน คือ คุณพ่อ
“คุณพ่อทำงานด้านมาร์เก็ตติ้งมานาน แล้วหลัง ๆ ก็หันมาสนใจเรื่องแบรนดิ้งมากขึ้น พอเห็นเราทำแบรนด์นี้ ก็เลยอาสามาช่วยเป็นที่ปรึกษา คอยให้คำแนะนำในมุมที่เรายังมองไม่เห็น”
ต้องเรียนรู้ที่จะเติบโต
กีตาร์บอกว่า ที่ผ่านมา เขายอมรับว่าแม้จะชอบศิลปะ แต่ก็ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องแฟชั่นเลย จึงทำให้เขาต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เมื่อมาอยู่ตรงนี้ จากประสบการณ์ 3-4 ปีที่เคยทำงานในองค์กรอื่น ๆ มา ก่อนมาทำธุรกิจ เขามองว่าทักษะสำคัญที่สุดของคนรุ่นใหม่คือ Growth mindset เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่ยอมแพ้ และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ Communication skill ทุกอย่างในยุคนี้ขับเคลื่อนด้วยคอนเทนต์และวิดีโอ ต่อให้เรามีของดีแค่ไหน แต่ถ้าสื่อสารไม่ได้ ลูกค้าไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่า เราก็เสียโอกาสทันที ซึ่งแบรนด์ก็พยายามเรียนรู้ และพยายามทำตรงนี้อยู่
เมื่อถามถึงความสำเร็จของแบรนด์ในปลายทางคืออะไร
กีตาร์ครุ่นคริดสักพักก่อนจะตอบว่า ความสำเร็จของเราคือการที่คนรู้สึกกับทไวน์ไฮด์ เหมือนที่เขารู้สึกกับแบรนด์โปรดของตัวเอง อยากให้คนรู้สึกว่า ‘อยากได้กระเป๋าใบนี้จังเลย’ หรือ ‘ดีใจที่ได้ถือมัน’ เหมือนมันเป็นของที่สะท้อนรสนิยมและตัวตนของเขา โดยที่เขาเห็นคุณค่าแบบเดียวกับที่เรามองเห็น ซึ่งตอนนี้ศักยภาพแบรนด์ไทยไม่ใช่เล่น ๆ เขายกตัวอย่างแบรนด์ที่เขาชื่นชมคือ PIPATCHARA ที่วันนี้เป็นแบรนด์ระดับโลกไปแล้ว ไม่ใช่แค่การดีไซน์สวยงามเท่านั้น แต่มีกลยุทธ์การสื่อสาร แนวคิดของแบรนด์ ซึ่งเขาเองก็พยายามที่จะเรียนรู้ นำเป็นแบบอย่าง



3+






